
แม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวจากโควิดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ความเปราะบาง แง่ ฐานะการเงินของ “คนไทย” ยังไม่หายไปไหน รายได้ที่เพิ่มไม่ทันค่าครองชีพ ดอกเบี้ยทรงตัวสูง และหนี้ที่สะสมตั้งแต่ช่วงวิกฤติ ยังคงซ้ำเติมผู้คนจำนวนมาก ให้หลุดจากวงจร “แบกหนี้” ได้ยาก
ข้อมูลจากวิจัย LH เผยภาพรวมระดับหนี้ด้อยคุณภาพ ในปี 2567 พบมียอดคงค้างสินเชื่อที่ไม่ ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ขยับมาอยู่ที่ 499,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% ซึ่งคิดเป็น 2.70% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด
สถิติยอดคงค้างสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)
ขณะเศรษฐกิจปีนี้ ที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะแรงกดดันจาก สงครามการค้าที่มีต่อภาคการส่งออก ซึ่งอาจจะส่งผลให้หนี้ด้อยคุณภาพ ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้น
ประกอบกับภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และ ค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกดดันต่อความสามารถ ในการชำระหนี้ของลูกหนี้บางรายที่อาจนำไปสู่ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะเริ่มเห็นสัญญาณ NPL ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 ในกลุ่มสินเชื่อบ้าน เพิ่มขึ้น 16.5% และสินเชื่อรถยนต์ เพิ่มขึ้น 11.4%
นี่เองทำให้สถาบันการเงินต่างๆ ต้องทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมา เพื่อลดความเสี่ยงในการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อเมื่อหนี้เสีย (NPLs) พุ่งสูงขึ้น ธนาคารก็ต้องตัดภาระที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ด้วยการ "ขายทอดตลาด" ทรัพย์ที่ลูกหนี้จำนองไว้ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่หลุดมือจากเจ้าของเดิมแล้ว เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโดฯ ฯลฯ
กลายเป็นอานิสงส์ให้กับกลุ่มธุรกิจที่เรียกว่า “บริหารสินทรัพย์” เนื่องจาก ธนาคาร มักไม่จัดการหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL/NPA) ด้วยตัวเองทั้งหมด และเลือก “ขายต่อ” หรือ “จ้างบริษัทบริหารหนี้” แทน ด้วยหลายเหตุผล
-ลดภาระสำรองหนี้ ไม่งั้นกำไรหาย
-ธนาคารไม่ถนัด ทวงหนี้-ขายทรัพย์
-ขายเร็ว ได้เงินบางส่วน ดีกว่าเก็บไว้นานแล้วไม่ได้เลย
-การปล่อยให้ NPL สะสมมากเกินไป จะกระทบเครดิตของธนาคารเอง
-ในบางกรณีธนาคารไม่ได้ขายขาด แต่จ้างมืออาชีพมาทำแทน
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของธุรกิจบริหารสินทรัพย์ใน ปี 2567 พบว่า มีรายได้รวมอยู่ที่ 36,074 ล้านบาท ภายใต้ ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่พบว่า มีบริษัทที่ประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์(AMC) มีจำนวนทั้งสิ้น 87 ราย โดยหากพิจารณาสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ของผู้ประกอบการใน 4 ลำดับแรก ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 73.7% ได้แก่
ทั้งนี้ จากปัจจัยหนุนข้างต้น ทำให้มี ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันในธุรกิจดังกล่าวเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ในปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 7 ราย โดยเฉพาะการร่วมทุนของบริษัทรายใหญ่อย่างเช่น BAM ร่วมกับ KBANK ในการจัดตั้ง ARUN AMC และร่วมกับ ธ.ออมสิน ในการจัดตั้ง ARI AMC เป็นต้น
บริษัทบริหารหนี้ คือ ผู้ที่เข้าไปซื้อ "หนี้เสีย" หรือ "ทรัพย์สินรอการขาย" จากธนาคารมาในราคาที่ต่ำกว่าหน้าบัญชี แล้วมาจัดการต่อเอง โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจมีอยู่ 2 ทางหลัก
เพราะหนี้เสียเพิ่มขึ้นแบบชัดเจน ทำให้ "ของในตลาด" หรือหนี้-ทรัพย์ที่พร้อมขายจากธนาคาร มีมากขึ้นตาม โดยวิจัย LH คาดการณ์ว่า ปี 2568 จะกลายเป็นโอกาสทองของบริษัทบริหารหนี้อีกปีหนึ่ง ตามทิศทางของอุปทานสินเชื่อด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในระบบที่อยู่ในระดับสูงและอาจมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
แต่โอกาสก็ยังหมายถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วย เพราะมีทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ รายใหม่จากต่างประเทศ รวมถึงบริษัทลูกของแบงก์เอง เข้ามาแย่งชิงสินทรัพย์เหล่านี้ เพื่อเอาไปต่อยอด ซึ่งอาจทำให้ เกิดการแข่งขันด้านราคาในการประมูลซื้อสินทรัพย์ฯ ส่งผลกระทบ โดยตรงต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจและอัตรากำไรของธุรกิจในอนาคต รวมถึงมาตรการแก้หนี้ยั่งยืนที่อาจส่งผลให้สถาบันการเงินต่างๆ ชะลอ การขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมา ประกอบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มี แนวโน้มหดตัว ส่งผลกดดันให้การขายทรัพย์ NPA ชะลอลง
ที่มา : วิจัย LH
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney