หนี้เสียพุ่ง 5 แสนล้าน อานิสงส์ “ธุรกิจบริหารหนี้” กลไกเบื้องหลัง ระบบการเงิน และ “หนี้” ของคนไทย

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หนี้เสียพุ่ง 5 แสนล้าน อานิสงส์ “ธุรกิจบริหารหนี้” กลไกเบื้องหลัง ระบบการเงิน และ “หนี้” ของคนไทย

Date Time: 14 พ.ค. 2568 11:31 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

ในวันที่หนี้เสียไม่หยุดพุ่ง ธุรกิจที่เติบโตที่สุด อาจไม่ใช่การลงทุน แต่คือ “การตามทวง” ทำความรู้จัก “บริษัทบริหารหนี้” กลไกเบื้องหลัง ระบบการเงิน และ “หนี้” ของคนไทย

แม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวจากโควิดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ความเปราะบาง แง่ ฐานะการเงินของ “คนไทย” ยังไม่หายไปไหน รายได้ที่เพิ่มไม่ทันค่าครองชีพ ดอกเบี้ยทรงตัวสูง และหนี้ที่สะสมตั้งแต่ช่วงวิกฤติ ยังคงซ้ำเติมผู้คนจำนวนมาก ให้หลุดจากวงจร “แบกหนี้” ได้ยาก 

ข้อมูลจากวิจัย LH เผยภาพรวมระดับหนี้ด้อยคุณภาพ ในปี 2567 พบมียอดคงค้างสินเชื่อที่ไม่ ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ขยับมาอยู่ที่ 499,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% ซึ่งคิดเป็น 2.70% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด 

สถิติยอดคงค้างสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)

  • ปี 2563 : 523,261 ล้านบาท
  • ปี 2564 : 530,736 ล้านบาท
  • ปี 2565 : 499,145 ล้านบาท
  • ปี 2566 : 492,800 ล้านบาท
  • ปี 2567 : 499,167 ล้านบาท

ขณะเศรษฐกิจปีนี้ ที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะแรงกดดันจาก สงครามการค้าที่มีต่อภาคการส่งออก ซึ่งอาจจะส่งผลให้หนี้ด้อยคุณภาพ ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้น 

ประกอบกับภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และ ค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกดดันต่อความสามารถ ในการชำระหนี้ของลูกหนี้บางรายที่อาจนำไปสู่ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะเริ่มเห็นสัญญาณ NPL ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 ในกลุ่มสินเชื่อบ้าน เพิ่มขึ้น 16.5% และสินเชื่อรถยนต์ เพิ่มขึ้น 11.4%

นี่เองทำให้สถาบันการเงินต่างๆ ต้องทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมา เพื่อลดความเสี่ยงในการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อเมื่อหนี้เสีย (NPLs) พุ่งสูงขึ้น ธนาคารก็ต้องตัดภาระที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ด้วยการ "ขายทอดตลาด" ทรัพย์ที่ลูกหนี้จำนองไว้ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่หลุดมือจากเจ้าของเดิมแล้ว เช่น บ้าน  ที่ดิน คอนโดฯ ฯลฯ

บริษัทบริหารสินทรัพย์ ใครครองตลาด

กลายเป็นอานิสงส์ให้กับกลุ่มธุรกิจที่เรียกว่า “บริหารสินทรัพย์” เนื่องจาก ธนาคาร มักไม่จัดการหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL/NPA) ด้วยตัวเองทั้งหมด และเลือก “ขายต่อ” หรือ “จ้างบริษัทบริหารหนี้” แทน ด้วยหลายเหตุผล

-ลดภาระสำรองหนี้ ไม่งั้นกำไรหาย

-ธนาคารไม่ถนัด ทวงหนี้-ขายทรัพย์

-ขายเร็ว ได้เงินบางส่วน ดีกว่าเก็บไว้นานแล้วไม่ได้เลย

-การปล่อยให้ NPL สะสมมากเกินไป จะกระทบเครดิตของธนาคารเอง

-ในบางกรณีธนาคารไม่ได้ขายขาด แต่จ้างมืออาชีพมาทำแทน

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของธุรกิจบริหารสินทรัพย์ใน ปี 2567 พบว่า มีรายได้รวมอยู่ที่ 36,074 ล้านบาท ภายใต้ ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่พบว่า มีบริษัทที่ประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์(AMC) มีจำนวนทั้งสิ้น 87 ราย โดยหากพิจารณาสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ของผู้ประกอบการใน 4 ลำดับแรก ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 73.7% ได้แก่ 

  • บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM)ครองมูลค่าสินทรัพย์ 137,315 ล้านบาท (45.2%)
  • บจ.บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท (SAM)ครองมูลค่าสินทรัพย์ 49,227 ล้านบาท (16.2%)
  • บจ.บริหารสินทรัพย์ เจ  ครองมูลค่าสินทรัพย์  20,302 ล้านบาท (6.7%)
  • บจ.บริหารสินทรัพย์ ธ.อิสลาม ครองมูลค่าสินทรัพย์  16,812 ล้านบาท (5.5%)
  • อื่นๆ ครองมูลค่าสินทรัพย์ รวมกัน 79,806 ล้านบาท (26.3%)


ทั้งนี้ จากปัจจัยหนุนข้างต้น ทำให้มี ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันในธุรกิจดังกล่าวเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ในปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 7 ราย โดยเฉพาะการร่วมทุนของบริษัทรายใหญ่อย่างเช่น BAM ร่วมกับ KBANK ในการจัดตั้ง ARUN AMC และร่วมกับ ธ.ออมสิน ในการจัดตั้ง ARI AMC เป็นต้น

ธุรกิจบริหารหนี้ ทำหน้าที่อะไรในห่วงโซ่นี้?

บริษัทบริหารหนี้ คือ ผู้ที่เข้าไปซื้อ "หนี้เสีย" หรือ "ทรัพย์สินรอการขาย" จากธนาคารมาในราคาที่ต่ำกว่าหน้าบัญชี แล้วมาจัดการต่อเอง โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจมีอยู่ 2 ทางหลัก

  1. ซื้อหนี้เสีย (NPL/NPA) มาบริหารเองบริษัทจะเจรจากับลูกหนี้เพื่อให้กลับมาชำระได้ เช่น ลดหนี้ ยืดระยะเวลา หรือปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ หากเจรจาไม่ได้ก็อาจยึดทรัพย์ขายเพื่อนำเงินคืน
  2. รับจ้างบริหารหนี้ (Servicing) ธนาคารยังเป็นเจ้าของหนี้ แต่จ้างบริษัทเหล่านี้ให้เป็นคนตามทวงและบริหารจัดการแทน

เพราะหนี้เสียเพิ่มขึ้นแบบชัดเจน ทำให้ "ของในตลาด" หรือหนี้-ทรัพย์ที่พร้อมขายจากธนาคาร มีมากขึ้นตาม โดยวิจัย LH คาดการณ์ว่า ปี 2568 จะกลายเป็นโอกาสทองของบริษัทบริหารหนี้อีกปีหนึ่ง ตามทิศทางของอุปทานสินเชื่อด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในระบบที่อยู่ในระดับสูงและอาจมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

แต่โอกาสก็ยังหมายถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วย เพราะมีทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ รายใหม่จากต่างประเทศ รวมถึงบริษัทลูกของแบงก์เอง เข้ามาแย่งชิงสินทรัพย์เหล่านี้ เพื่อเอาไปต่อยอด ซึ่งอาจทำให้ เกิดการแข่งขันด้านราคาในการประมูลซื้อสินทรัพย์ฯ ส่งผลกระทบ โดยตรงต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจและอัตรากำไรของธุรกิจในอนาคต รวมถึงมาตรการแก้หนี้ยั่งยืนที่อาจส่งผลให้สถาบันการเงินต่างๆ ชะลอ การขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมา ประกอบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มี แนวโน้มหดตัว ส่งผลกดดันให้การขายทรัพย์ NPA ชะลอลง

ที่มา : วิจัย LH 

อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ