ท่ามกลางบรรยากาศเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ไทยกำลังเผชิญแรงกระแทกจากหลายทิศ ทั้งการส่งออกที่ชะลอลงจากมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของภาคการท่องเที่ยวจากเหตุภัยธรรมชาติ รวมถึงภาวะราคาสินค้าและค่าครองชีพที่พุ่งสูงต่อเนื่อง ขณะที่รายได้ประชาชนจำนวนมากยังไม่ขยับตาม
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้การบริโภคภายในประเทศเริ่มอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน คนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มจับจ่ายอย่างระมัดระวัง ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และพยายามประคองตัวเองให้อยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นทางออก
ในช่วงเวลาแบบนี้ “ความรู้สึกของประชาชน” จึงเป็นอีกหนึ่งสัญญาณสะท้อนความร้อนแรงของปัญหาได้ชัดเจน และจากผลสำรวจล่าสุดของ สวนดุสิตโพล ก็พบว่า คนไทยจำนวนมากไม่เพียงแต่รู้สึก “ไม่มั่นใจ” ต่อภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ชีวิตบนฐานการเงินที่เปราะบาง เสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หากเกิดวิกฤตขึ้นอีกครั้ง
สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ “คนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ” ที่จัดทำระหว่างวันที่ 6 – 9 พฤษภาคม 2568 กับกลุ่มตัวอย่าง 1,229 คน พบประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกไม่มั่นคงต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน โดยรวมกว่า 92% ระบุว่ากังวล ทั้งในระดับ “มาก” และ “ค่อนข้างมาก” สะท้อนความรู้สึกลึก ๆ ของคนไทยที่มองว่าเศรษฐกิจวันนี้ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนและไม่น่าไว้วางใจ
สิ่งที่สร้างความกังวลมากที่สุดคือ “ราคาสินค้าที่แพงขึ้น” (73.23%) ตามมาด้วย “ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” (67.36%) ซึ่งเป็นแรงกดดันสำคัญต่อครัวเรือนจำนวนมากที่ต้องพยายามปรับตัวให้อยู่รอดในภาวะที่รายได้ไม่โตทันรายจ่าย
ผลสำรวจยังพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า เกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง (48.32%) มีเงินสำรองฉุกเฉินใช้ได้ไม่ถึง 1 เดือน หากไม่มีรายได้เลย ขณะที่อีกร้อยละ 35.24 มีสำรองแค่เพียง 1-3 เดือนเท่านั้น นั่นหมายความว่า กว่า 83% ของประชาชน อยู่ในภาวะเปราะบางทางการเงิน ซึ่งไม่สามารถรับมือวิกฤตเศรษฐกิจได้ในระยะยาว แม้จะมีความพยายามในการ “รัดเข็มขัด”
แต่เมื่อสอบถามถึงการวางแผนการเงินในชีวิตประจำวันกลับพบว่า มีเพียง 27.83% ที่สามารถวางแผนได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ยังติดกับดักของการวางแผนที่ “ทำไม่ได้จริง” ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง เกือบ 60%
ขณะเดียวกัน ความไม่มั่นใจต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลยิ่งซ้ำเติมความไม่สบายใจของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกของไทย ผลสำรวจพบว่า 76.06% ไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลไทยในการรับมือกับปัญหานี้ เหลือเพียง 23.94% ที่ยังคงมีความเชื่อมั่น
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ชี้ว่า ความกังวลของประชาชนไม่ใช่แค่เรื่องปากท้องในปัจจุบัน แต่ยังสะท้อนถึง โครงสร้างทางการเงินของครัวเรือนที่เปราะบาง ต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ แม้จะพยายามวางแผนและปรับตัว แต่เมื่อรายได้ไม่พอ รายจ่ายก็ยังเป็นภาระที่จัดการได้ยาก
ขณะที่ ร้อยเอกศักดา ศรีทิพย์ อาจารย์ด้านกฎหมายมหาชน ม.สวนดุสิต วิเคราะห์ว่า จากปัจจัยการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ปัจจัยการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทำ ให้นักท่องเที่ยวลดลง ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้เป็นองค์ประกอบหลักของ GDP ประเทศไทย
ทำให้ประชาชนค่อนข้างกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน กังวลว่าราคาสินค้าจะแพง ค่าครองชีพจะสูง หนี้สินี้ สินครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น จึงต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำ เป็นลง ลดการก่อหนี้ใหม่ เก็บออมเงินมากขึ้นขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ
ซึ่งการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวลง เพราะประชาชน ระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น จะกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ ซ้ำเติมเศรษฐกิจในประเทศให้อ่อนแรงลง อาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Recession)ได้
ที่มา : สวนดุสิตโพล
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney