“ลูกยังไม่มา” แต่มีค่าใช้จ่ายหลักแสน! คนแต่งงานช้าลง อยากฝากไข่-แช่แข็งสเปิร์ม ใช้เงินมากแค่ไหน

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“ลูกยังไม่มา” แต่มีค่าใช้จ่ายหลักแสน! คนแต่งงานช้าลง อยากฝากไข่-แช่แข็งสเปิร์ม ใช้เงินมากแค่ไหน

Date Time: 4 ธ.ค. 2568 19:49 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

ใครๆ ก็รู้ว่ามีลูกต้องใช้เงินเยอะ แต่เป็นคนโสดก็มีค่าใช้จ่าย “เพื่อมีลูก” ได้เหมือนกัน เช่น ฝากไข่ - แช่แข็งอสุจิ ฯลฯ เรื่องนี้ใช้เงินไม่น้อยอาจสูงหลักแสนถึงล้าน แล้วเราจะวางแผนการเงินให้รอบด้านยังไง

Latest


“มีลูกเมื่อพร้อม”

หลายคนตั้งเป้าหมายนี้ไว้ในใจ และคิดจะเตรียมเงินให้มากที่สุด นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนมีลูกช้าลง เพราะหันไปใช้เวลาเพื่อสร้างความมั่นคงมากขึ้น แต่เมื่อเงินพร้อมวันนั้นร่างกายก็อาจไม่พร้อม เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้คนเลยสนใจเทคโนโลยีอย่างการฝากไข่และการแช่แข็งสเปิร์มมากขึ้น

ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่แต่ถ้าอยากมีลูก “ความพร้อม” นี้ต้องใช้เงินเท่าไร? Thairath Money จะชวนไปส่องค่าใช้จ่ายและวิธีวางแผนให้พร้อมทุกด้าน

เงินแสนอาจไม่พอ “ฝากไข่-แช่แข็งสเปิร์ม”

เริ่มกันที่การฝากไข่ หรือ Egg freezing ถึงดูเป็นเรื่องใหม่ในไทยแต่ต่างประเทศก็ทำกันมานานแล้ว จากข้อมูลของ Human Fertilisation and Embryology Authority (HFEA) เป็นหน่วยงานอิสระที่กำกับดูแลเกี่ยวกับตัวอ่อนและการเจริญพันธุ์ในอังกฤษ ระบุว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับกระบวนการแช่แข็งและละลายไข่ (Egg Freezing and Thawing) อยู่ที่ประมาณ 7,000-8,000 ปอนด์ (ราว 296,658-339,038 บาท) และอาจสูงกว่านั้น เพราะบางคนต้องทำหลายรอบและมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก เช่น ค่าตรวจเลือด ค่ายา การกระตุ้นรังไข่ด้วยยาฮอร์โมน ค่าเก็บไข่ ค่าเก็บรักษาไข่ที่คิดมักเป็นรายปี ฯลฯ

ส่วนค่าใช้จ่ายการแช่แข็งสเปิร์ม มีหลายราคาขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการ, จำนวนตัวอย่างที่ต้องการเก็บ หรือระยะเวลาในการเก็บรักษา เช่น

  • เว็บไซต์ Sppare.me ระบุว่า ชุดอุปกรณ์สำหรับเก็บตัวอย่างสเปิร์ม มีราคา 700 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 22,718 บาท) และมาพร้อมกับการเก็บรักษาฟรี 1 ปี แต่หลังจากนั้นคิดปีละ 145 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,705 บาท)
  • The Sperm Bank of California ระบุว่า ค่าธรรมเนียมเริ่มต้น (รวมการเก็บรักษาปีแรก) คือ 1,575 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 51,116 บาท) และการเก็บรักษาในปีถัดไปจะอยู่ที่ปีละ 550 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,850 บาท)

กลับมาดูฝั่งประเทศไทยกันบ้าง ส่วนใหญ่จะมาเป็นแพ็กเกจการฝากไข่มักเริ่มต้นที่หลักแสนบาทเช่น

  • โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ระบุราคาแพ็กเกจฝากไข่-แช่แข็งไข่ราคาเริ่มต้น 110,000 บาท เช่น แพ็กเกจเริ่มรักษาและกระตุ้นรังไข่ด้วยยาฮอร์โมน 120,000 บาท จะมีค่ายาฉีดต่างๆ ค่าอัลตราซาวด์เพื่อดูการเจริญเติบโตของถุงไข่ รวมไปถึงค่าตรวจแพทย์
  • โรงพยาบาลพญาไท มีราคาอยู่ที่ 191,031 บาท มาพร้อมกับการฝากแช่แข็งฟรี 1 ปี
  • โรงพยาบาลบีเอ็นเอช มีบทความที่ระบุว่า ราคาเฉลี่ยการฝากไข่อยู่ที่ 250,000-300,000 บาท รวมราคาค่าแช่แข็งไข่ไม่จำกัดจำนวนไข่แล้ว และในกรณีที่ต้องการนำไข่มาใช้ทำเด็กหลอดแก้ว หรือ ICSI เพื่อการตั้งครรภ์ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

และในส่วนของการแช่แข็งสเปิร์ม ข้อมูลจากศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก VFC Center ระบุว่าการแช่แข็งอสุจิและแช่แข็งตัวอ่อนมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 11,000 บาท แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชันและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่นๆ

นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นในการวางแผนมีลูก แต่ยังมีอีกขั้นตอนสำคัญคือ การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ที่ราคามีตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงแสน โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ระบุราคาแพ็กเกจ IVF ไว้ที่ 50,000 - 396,000 บาท, ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากจินตบุตร มีแพ็กเกจราคา 138,000 บาท/รอบการรักษา และโรงพยาบาลเอกชัย แพ็กเกจ IVF ราคา 222,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่ใช่ราคาที่น้อยเลย

3 เรื่องการเงินที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนมีลูก

ราคาแพ็กเกจเหล่านี้ เป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งในการมีลูก ดังนั้น ความพร้อมเรื่องเงินอาจต้องเริ่มจากการวางแผน ซึ่งเราอาจเริ่มต้นคิดจาก 3 ข้อนี้เพื่อให้ชีวิตเราง่ายขึ้น

1. อยากมีลูก แต่กี่คนดี?

ชีวิตครอบครัวแม้จะเริ่มต้นที่สองคน แต่ถ้าจะมีทายาทมาเพิ่มเราอาจต้องพิจารณาปัจจัยให้รอบด้าน ว่า “เงิน” ที่มีจะพอไหม อาจเริ่มที่ครอบครัวเรามีรายได้เท่าไร ค่าใช้จ่ายมีอะไรบ้าง ถ้าจะมีลูกค่าใช้จ่ายในบ้านจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราพิจารณาว่ามีลูกกี่คนดี

อาจเริ่มเช็กค่าใช้จ่ายที่ต้องเกิดขึ้น เช่น ค่าเทอมในโรงเรียนที่ต้องการ, ค่าของใช้ในวัยเด็ก วัยเรียน ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ฯลฯ แม้เรื่องนี้อาจดูยาก แต่ถ้าเราเริ่มหาข้อมูลไว้ก่อนก็ทำให้ต่อยอดได้ง่ายขึ้น

2. เงินน้อยหรือมากก็ต้องเริ่มออม หรือลงทุนให้งอกเงย

แม้จะคำนวณแล้วว่า ต้องใช้เงินหลักล้าน แต่ลูกไม่ได้โตในวันเดียว เรายังมีเวลาที่จะเก็บออมให้เงินนั้นเติบโตได้ โดยอาจกำหนดระยะเวลาเก็บออมตามเป้าหมาย เช่น

ช่วงก่อนที่ลูกจะเข้าสู่วัยเรียน ถือเป็นเป้าหมายระยะสั้น (1-3 ปี) และมีความสำคัญและรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยเอาไว้ก่อนเพื่อรักษามูลค่าเงินต้น

แต่ถ้าลูกเข้าสู่วัยเรียนแล้ว การลงทุนของคนเป็นพ่อแม่จะเป็นเป้าหมายระยะยาว (3-5 ปีขึ้นไป) เราสามารถจัดสรรเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น

3. วางแผนแล้ว แต่ต้องอัปเดตแผนการเงินอย่างสม่ำเสมอ

สถานการณ์ชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงตามสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้น เป้าหมายที่วางไว้ก็อาจต้องปรับตามสิ่งที่เกิดขึ้น

สุดท้ายนี้ การวางแผนมีลูกเมื่อพร้อม อาจต้องเริ่มจากการวางแผนการเงินให้ดี เพราะการจัดสรรเงินอย่างเหมาะสมตั้งแต่วันนี้ อาจช่วยให้ทั้งตัวเรา และลูกมี “การเงินดี” ในอนาคต


หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ 42.40 บาทต่อปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ

 

อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ