
“มีลูกเมื่อพร้อม”
หลายคนตั้งเป้าหมายนี้ไว้ในใจ และคิดจะเตรียมเงินให้มากที่สุด นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนมีลูกช้าลง เพราะหันไปใช้เวลาเพื่อสร้างความมั่นคงมากขึ้น แต่เมื่อเงินพร้อมวันนั้นร่างกายก็อาจไม่พร้อม เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้คนเลยสนใจเทคโนโลยีอย่างการฝากไข่และการแช่แข็งสเปิร์มมากขึ้น
ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่แต่ถ้าอยากมีลูก “ความพร้อม” นี้ต้องใช้เงินเท่าไร? Thairath Money จะชวนไปส่องค่าใช้จ่ายและวิธีวางแผนให้พร้อมทุกด้าน
เริ่มกันที่การฝากไข่ หรือ Egg freezing ถึงดูเป็นเรื่องใหม่ในไทยแต่ต่างประเทศก็ทำกันมานานแล้ว จากข้อมูลของ Human Fertilisation and Embryology Authority (HFEA) เป็นหน่วยงานอิสระที่กำกับดูแลเกี่ยวกับตัวอ่อนและการเจริญพันธุ์ในอังกฤษ ระบุว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับกระบวนการแช่แข็งและละลายไข่ (Egg Freezing and Thawing) อยู่ที่ประมาณ 7,000-8,000 ปอนด์ (ราว 296,658-339,038 บาท) และอาจสูงกว่านั้น เพราะบางคนต้องทำหลายรอบและมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก เช่น ค่าตรวจเลือด ค่ายา การกระตุ้นรังไข่ด้วยยาฮอร์โมน ค่าเก็บไข่ ค่าเก็บรักษาไข่ที่คิดมักเป็นรายปี ฯลฯ
ส่วนค่าใช้จ่ายการแช่แข็งสเปิร์ม มีหลายราคาขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการ, จำนวนตัวอย่างที่ต้องการเก็บ หรือระยะเวลาในการเก็บรักษา เช่น
กลับมาดูฝั่งประเทศไทยกันบ้าง ส่วนใหญ่จะมาเป็นแพ็กเกจการฝากไข่มักเริ่มต้นที่หลักแสนบาทเช่น
และในส่วนของการแช่แข็งสเปิร์ม ข้อมูลจากศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก VFC Center ระบุว่าการแช่แข็งอสุจิและแช่แข็งตัวอ่อนมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 11,000 บาท แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชันและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่นๆ
นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นในการวางแผนมีลูก แต่ยังมีอีกขั้นตอนสำคัญคือ การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ที่ราคามีตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงแสน โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ระบุราคาแพ็กเกจ IVF ไว้ที่ 50,000 - 396,000 บาท, ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากจินตบุตร มีแพ็กเกจราคา 138,000 บาท/รอบการรักษา และโรงพยาบาลเอกชัย แพ็กเกจ IVF ราคา 222,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่ใช่ราคาที่น้อยเลย
ราคาแพ็กเกจเหล่านี้ เป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งในการมีลูก ดังนั้น ความพร้อมเรื่องเงินอาจต้องเริ่มจากการวางแผน ซึ่งเราอาจเริ่มต้นคิดจาก 3 ข้อนี้เพื่อให้ชีวิตเราง่ายขึ้น
1. อยากมีลูก แต่กี่คนดี?
ชีวิตครอบครัวแม้จะเริ่มต้นที่สองคน แต่ถ้าจะมีทายาทมาเพิ่มเราอาจต้องพิจารณาปัจจัยให้รอบด้าน ว่า “เงิน” ที่มีจะพอไหม อาจเริ่มที่ครอบครัวเรามีรายได้เท่าไร ค่าใช้จ่ายมีอะไรบ้าง ถ้าจะมีลูกค่าใช้จ่ายในบ้านจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราพิจารณาว่ามีลูกกี่คนดี
อาจเริ่มเช็กค่าใช้จ่ายที่ต้องเกิดขึ้น เช่น ค่าเทอมในโรงเรียนที่ต้องการ, ค่าของใช้ในวัยเด็ก วัยเรียน ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ฯลฯ แม้เรื่องนี้อาจดูยาก แต่ถ้าเราเริ่มหาข้อมูลไว้ก่อนก็ทำให้ต่อยอดได้ง่ายขึ้น
2. เงินน้อยหรือมากก็ต้องเริ่มออม หรือลงทุนให้งอกเงย
แม้จะคำนวณแล้วว่า ต้องใช้เงินหลักล้าน แต่ลูกไม่ได้โตในวันเดียว เรายังมีเวลาที่จะเก็บออมให้เงินนั้นเติบโตได้ โดยอาจกำหนดระยะเวลาเก็บออมตามเป้าหมาย เช่น
ช่วงก่อนที่ลูกจะเข้าสู่วัยเรียน ถือเป็นเป้าหมายระยะสั้น (1-3 ปี) และมีความสำคัญและรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยเอาไว้ก่อนเพื่อรักษามูลค่าเงินต้น
แต่ถ้าลูกเข้าสู่วัยเรียนแล้ว การลงทุนของคนเป็นพ่อแม่จะเป็นเป้าหมายระยะยาว (3-5 ปีขึ้นไป) เราสามารถจัดสรรเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น
3. วางแผนแล้ว แต่ต้องอัปเดตแผนการเงินอย่างสม่ำเสมอ
สถานการณ์ชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงตามสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้น เป้าหมายที่วางไว้ก็อาจต้องปรับตามสิ่งที่เกิดขึ้น
สุดท้ายนี้ การวางแผนมีลูกเมื่อพร้อม อาจต้องเริ่มจากการวางแผนการเงินให้ดี เพราะการจัดสรรเงินอย่างเหมาะสมตั้งแต่วันนี้ อาจช่วยให้ทั้งตัวเรา และลูกมี “การเงินดี” ในอนาคต
หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ 42.40 บาทต่อปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ
ที่มา: Human Fertilisation and Embryology Authority (HFEA), SET, โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช, โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney