ไขรหัสราคาหุ้น มือใหม่ต้องรู้ก่อนลงทุน เปิดวิธีประเมิน รู้ทันมูลค่า “ถูกเกินไป” หรือ “แพงเกินจริง”

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ไขรหัสราคาหุ้น มือใหม่ต้องรู้ก่อนลงทุน เปิดวิธีประเมิน รู้ทันมูลค่า “ถูกเกินไป” หรือ “แพงเกินจริง”

Date Time: 11 พ.ค. 2568 11:01 น.

Video

อธิบายทีเดียวว่า ทำไมฟองสบู่ AI จะไม่แตกซ้ำรอยดอทคอม? | Digital Frontiers EP.51

Summary

ทำไมหุ้นบริษัทใหญ่เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันลิบลับ Thairath Money พาเจาะลึกเบื้องหลังราคาหุ้น ไขรหัส P/E และ P/BV สองเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสแกนว่าหุ้นตัวไหน "ถูกเกินไป" หรือ "แพงเกินจริง"

นักลงทุนมือใหม่อาจเคยสงสัยว่า ทำไมหุ้นบริษัทหนึ่งมีขนาดใหญ่ ราคาต่อหุ้นแค่หลักสิบบาท แต่พอไปดูหุ้นอีกบริษัทหนึ่งที่ก็ใหญ่ไม่แพ้กัน ราคากลับพุ่งไปหลักร้อยบาท

แบบนี้จะเลือกลงทุนบริษัทไหนดี Thairath Money จะพาไปไขปริศนาเหล่านี้ พร้อมสอนวิธีส่องหุ้นแบบเบื้องต้นว่า "แพง" หรือ "ถูก" ด้วย 2 เครื่องมือง่ายๆ ที่นักลงทุนมือใหม่ต้องรู้

ราคาหุ้นมาจากไหน ?

หลายคนอาจคิดว่า ราคาหุ้นแพงๆ หมายถึงบริษัทต้องใหญ่กว่า มีกำไรเยอะกว่าเสมอไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ราคาต่อหุ้น (Price per Share) ที่เราเห็นบนกระดานนั้น ไม่ได้สะท้อนขนาดของบริษัทที่แท้จริง

สิ่งที่กำหนดราคาต่อหุ้นนั้น คือ "อุปสงค์และอุปทานในตลาด" หรือ แรงซื้อแรงขายนั่นเอง แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาต่อหุ้นของแต่ละบริษัทแตกต่างกันอย่างมาก แม้จะมีขนาดธุรกิจใกล้เคียงกัน คือ "จำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท"

ลองนึกภาพตามว่า สมมติมีเค้กก้อนเท่ากันสองก้อน ก้อนแรกถูกหั่นเป็น 10 ชิ้นใหญ่ๆ ราคาต่อชิ้นก็จะสูงหน่อย ส่วนก้อนที่สองถูกหั่นเป็น 100 ชิ้นเล็กๆ ราคาต่อชิ้นก็จะถูกลงมา ทั้งที่มูลค่ารวมของเค้กทั้งสองก้อนเท่ากัน

หุ้นก็เช่นกัน บริษัทที่มี "มูลค่าตลาด" (Market Capitalization หรือ Market Cap.) สูงมากๆ อาจจะมีราคาต่อหุ้นที่ไม่สูงนัก หากบริษัทนั้นมีจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดเยอะ ในทางกลับกัน บริษัทที่มี Market Cap. รองลงมา แต่มีจำนวนหุ้นน้อยกว่า ราคาต่อหุ้นก็อาจจะสูงกว่าได้

ดังนั้น การจะดูว่าบริษัทไหน "ใหญ่" กว่ากันจริงๆ ต้องดูที่ Market Cap. ซึ่งคำนวณจาก “ราคาต่อหุ้น x จำนวนหุ้นทั้งหมด” ไม่ใช่ดูแค่ราคาต่อหุ้นอย่างเดียว

รู้จัก P/E และ P/BV เครื่องมือวัด “ความถูกแพง”

เมื่อเข้าใจแล้วว่า “ราคาต่อหุ้น” บอกอะไรไม่ได้มาก ทีนี้เรามาดูเครื่องมือยอดฮิตที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนใช้ในการประเมิน "ความถูกแพง" ของหุ้น นั่นคือ P/E Ratio และ P/BV Ratio

P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio) ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น

P/E บอกเราว่า เรายอมจ่ายเงินซื้อหุ้นนั้นเป็น "กี่เท่า" ของกำไรที่บริษัททำได้ต่อหุ้นในรอบ 1 ปีล่าสุด หรือถ้าพูดง่ายๆ คือ ถ้าเราซื้อหุ้นตัวนี้ แล้วบริษัททำกำไรได้เท่าเดิมทุกปี เราจะคืนทุนในเวลากี่ปี (แต่ในความเป็นจริง กำไรบริษัทเปลี่ยนแปลงได้)

โดยสามารถคำนวน P/E ได้จาก

ราคาหุ้นปัจจุบัน ÷ กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)

  • หาก P/E สูง อาจหมายถึงนักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทจะเติบโตได้ดีในอนาคต เลยยอมจ่ายแพงเพื่อซื้ออนาคต หรือหุ้นตัวนั้นอาจจะ "แพง" เกินไปแล้วก็ได้
  • หาก P/E ต่ำ อาจหมายถึงหุ้นตัวนั้นมีราคา "ถูก" เมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ หรือนักลงทุนอาจมองว่าบริษัทมีแนวโน้มเติบโตต่ำ หรือมีความเสี่ยงบางอย่างซ่อนอยู่

อย่างไรก็ตาม ค่า P/E ไม่ควรดูแบบเดี่ยวๆ แต่ต้องเปรียบเทียบกับ P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกัน, P/E ของคู่แข่ง, และ P/E ในอดีตของตัวหุ้นเองด้วย

P/BV Ratio (Price-to-Book Value Ratio) ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น

P/BV บอกเราว่า เรายอมจ่ายเงินซื้อหุ้นนั้นเป็น "กี่เท่า" ของมูลค่าทางบัญชีของบริษัทต่อหุ้น (Book Value คือ สินทรัพย์รวม ลบด้วย หนี้สินรวม) หรือถ้าพูดแบบเห็นภาพคือ ถ้าบริษัทเลิกกิจการวันนี้ ขายสินทรัพย์ทั้งหมดแล้วจ่ายหนี้สินจนหมด ผู้ถือหุ้นจะได้ส่วนแบ่งคืนมาเท่าไหร่เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อไป

โดยสามารถคำนวน P/BV ได้จาก

ราคาหุ้นปัจจุบัน ÷ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value Per Share)

  • หาก P/BV มากกว่า 1 เท่า หมายความว่า เราจ่ายเงินซื้อหุ้นในราคาสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท อาจเพราะตลาดมองเห็นศักยภาพในการสร้างกำไรจากสินทรัพย์นั้นๆ ได้ดี
  • หาก P/BV น้อยกว่า 1 เท่า หมายความว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ซึ่งอาจเป็นโอกาสถ้าบริษัทนั้นพื้นฐานยังดีอยู่ แต่ก็ต้องระวังว่าบริษัทอาจมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้ตลาดให้ค่าต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี

ทั้งนี้ P/BV เหมาะกับการประเมินหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน หรือบริษัทที่มีสินทรัพย์จับต้องได้จำนวนมาก แต่ไม่ค่อยเหมาะกับหุ้นที่มูลค่าส่วนใหญ่อยู่ที่สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ เช่น เทคโนโลยีหรือบริการ

หุ้น "แพง" หรือ "ถูก" เทียบกับอะไรได้บ้าง

การดู P/E หรือ P/BV เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งการจะตัดสินว่าหุ้นตัวนั้น "แพง" หรือ "ถูก" จริงๆ ต้องมองให้รอบด้าน โดยนำไปเปรียบเทียบกับ

  • เทียบกับอุตสาหกรรม - หุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันมักจะมีลักษณะการเติบโตและความเสี่ยงคล้ายๆ กัน การเทียบ P/E, P/BV กับค่าเฉลี่ยของกลุ่มจะช่วยให้เห็นว่าหุ้นของเราถูกหรือแพงกว่าเพื่อนในกลุ่มหรือไม่
  • เทียบกับคู่แข่งโดยตรง - เลือกบริษัทคู่แข่งที่มีขนาดธุรกิจและลักษณะใกล้เคียงกันมาเทียบ จะช่วยให้การประเมินมีความแม่นยำมากขึ้น
    เทียบกับอดีตของตัวเอง - ดูว่าในอดีตหุ้นตัวนี้เคยซื้อขายกันที่ P/E, P/BV ประมาณเท่าไหร่ ถ้าปัจจุบันสูงหรือต่ำกว่าในอดีตมาก ก็ต้องไปหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร
  • เทียบกับแนวโน้มการเติบโตของกำไรและรายได้ - หุ้นที่มี P/E สูง อาจจะไม่แพงเสมอไป หากบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่สูงมากๆ ในอนาคต (PEG Ratio เป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยดูเรื่องนี้)
  • เทียบกับภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยเฉพาะตัว - สภาวะเศรษฐกิจ, นโยบายภาครัฐ, ข่าวสารเฉพาะของบริษัท, ความสามารถของผู้บริหาร ล้วนมีผลต่อราคาหุ้นทั้งสิ้น

การทำความเข้าใจว่าราคาหุ้นมาจากไหน และรู้จักใช้เครื่องมือง่ายๆ อย่าง P/E และ P/BV ประกอบกับการเปรียบเทียบข้อมูลรอบด้าน จะช่วยให้นักลงทุนมือใหม่ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีหลักการมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า "ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว" ในการลงทุน การศึกษาข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และกระจายความเสี่ยง คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราเติบโตในตลาดหุ้นได้อย่างยั่งยืน


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ