เปิด 3 วิธีจัดการปัญหา “กู้ร่วม” เมื่อคู่รักเลิกกัน ไปต่ออย่างไร? “บ้าน” ที่ยังผ่อนไม่หมดใครจะจ่าย

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เปิด 3 วิธีจัดการปัญหา “กู้ร่วม” เมื่อคู่รักเลิกกัน ไปต่ออย่างไร? “บ้าน” ที่ยังผ่อนไม่หมดใครจะจ่าย

Date Time: 14 เม.ย. 2568 08:00 น.

Video

Broadcom ทำธุรกิจแบบไหน? ถึงกลายเป็น “ผู้ควบคุมนวัตกรรม” แห่งยุค AI | Digital Frontiers EP.49

Summary

เปิด 3 วิธีจัดการปัญหา "กู้ร่วม"เมื่อความรักที่เคยหวาน อาจจบลงด้วยการหย่าร้าง-เลิกรา แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือ “ภาระหนี้สินร่วม” ที่ไม่จบไปพร้อมความสัมพันธ์ โดยเฉพาะ “บ้าน” ที่ซื้อร่วมกัน แล้วอยู่ระหว่างการผ่อนกับธนาคาร ไปต่ออย่างไร

ในประเทศไทย อัตราการหย่าร้างมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี ขณะแม้ไม่ได้แต่งงานกัน หลายคู่ก็เลือกใช้วิธีกู้ร่วมกันเพื่อให้ขอสินเชื่อบ้านได้ง่ายขึ้นและวงเงินสูงขึ้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ถึงทางตัน ปัญหาคลาสสิกที่ตามมาคือ ใครจะรับผิดชอบการผ่อนต่อ? จะขายบ้านไหม? หรือจะทำยังไงกับชื่อที่ยังผูกพันในเอกสารทางการเงิน?

ข้อมูล จากเว็บไซต์ DDproperty ได้ให้แนวทางไว้ว่า การ “กู้ร่วม” ที่หมายถึง การขอสินเชื่อโดยมีผู้กู้มากกว่าหนึ่งคน ซึ่งในกรณีของคู่รัก เป้าหมายหลักมักเป็นการเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ และได้วงเงินกู้สูงขึ้น เพราะรายได้ของทั้งสองคนถูกนำมาคำนวณรวมกัน

แต่ปัญหาคือ ธนาคารจะพิจารณาทั้งคู่เป็น “ลูกหนี้ร่วม” ที่มีหน้าที่รับผิดชอบหนี้เต็มจำนวนเท่ากัน กล่าวคือ หากอีกฝ่ายเลิกผ่อน ธนาคารจะตามทวงอีกคนทันที และอาจกระทบเครดิตบูโรร่วมด้วย

3 วิธี เมื่อเลิกกัน แต่ยังต้อง “ผ่อนบ้าน” ด้วยกัน จะจัดการอย่างไรดี?

1. ถอดชื่อผู้กู้ร่วม

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการเก็บบ้านไว้เอง และมีศักยภาพทางการเงินมากพอในการผ่อนชำระต่อ ธนาคารบางแห่งอาจพิจารณาอนุญาตให้ “ถอดชื่อผู้กู้ร่วม” ออกจากสัญญากู้ได้


อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ที่เหลืออยู่ในสัญญาอีกครั้ง หากไม่ผ่านเกณฑ์ หรือมีประวัติหนี้ไม่ดี ธนาคารอาจไม่อนุมัติการถอดชื่อ

ข้อควรระวัง: แม้จะตกลงกันได้เองระหว่างคู่รัก แต่ถ้ายังไม่ได้รับการอนุมัติจากธนาคาร ชื่อในสัญญากู้ก็ยังคงผูกพันทั้งคู่ไว้อยู่ดี

2. รีไฟแนนซ์จาก “กู้ร่วม” เป็น “กู้คนเดียว”

อีกทางเลือกที่ชัดเจนกว่าการถอดชื่อ คือการยื่นรีไฟแนนซ์ใหม่โดยให้เหลือชื่อผู้กู้เพียงคนเดียว ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยปลดพันธะผู้กู้ร่วมเดิมออกจากภาระผ่อนบ้านได้อย่างสมบูรณ์

การรีไฟแนนซ์ คือ การยื่นขอสินเชื่อก้อนใหม่จากธนาคาร (เดิมหรือใหม่ก็ได้) เพื่อมาปิดหนี้ก้อนเดิม จากนั้นจะเป็นภาระของผู้กู้คนใหม่เพียงคนเดียว ซึ่งอาจช่วยปรับโครงสร้างหนี้ ดอกเบี้ย หรือระยะเวลาผ่อนด้วย

ข้อควรรู้: การรีไฟแนนซ์อาจมีค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย และต้องใช้เอกสารพอสมควร เช่นเดียวกับการขอกู้ครั้งแรก

3. ประกาศขายบ้าน

หากไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครจะรับผิดชอบบ้านต่อ หรือทั้งสองฝ่ายไม่พร้อมผ่อนแล้ว วิธีที่เป็นกลางที่สุดคือ “การขายบ้าน” แล้วนำเงินไปชำระหนี้กับธนาคาร

หากราคาขายสูงกว่ายอดหนี้ ก็อาจมีเงินเหลือแบ่งกันตามที่ตกลง แต่หากราคาขายต่ำกว่ายอดหนี้ ต้องร่วมกันชำระหนี้ส่วนที่เหลือด้วย

ข้อควรพิจารณา: บ้านที่ยังติดภาระธนาคารอยู่ จะต้องขายแบบ “ขายพร้อมภาระหนี้” โดยให้ผู้ซื้อรายใหม่ยื่นกู้เพื่อปิดหนี้เดิม หรือใช้เงินสดปิดหนี้ก่อนโอน หลังจากที่ขายบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากการขายจะต้องมาดูว่าบ้านหลังนี้มีมาก่อนการจดทะเบียนสมรสหรือไม่ เพราะหากบ้านนี้มีมาก่อนจดทะเบียนสมรส กำไรที่ได้จากการขายบ้านต้องเป็นของเจ้าของบ้าน แต่หากเป็นการซื้อบ้านร่วมกันและได้มาภายหลังจดทะเบียนจะถือว่าเป็นสินสมรส ดังนั้น กำไรที่ได้จากการขายบ้านจะถูกแบ่งกันคนละครึ่ง

เราควรเตรียมตัวอย่างไร ก่อนจะ “กู้ร่วม”?

แม้ตอนรักจะหวานแค่ไหน แต่การกู้ร่วมไม่ควรใช้แค่ “ความรู้สึก” เป็นเกณฑ์ ควรพูดคุยและทำข้อตกลงกันให้ชัดเจน เช่น

  • ใครรับผิดชอบค่างวดกี่เปอร์เซ็นต์
  • หากเลิกกันจะดำเนินการอย่างไร
  • ใครจะอยู่บ้านหลังนี้
  • หรือจะขายแล้วแบ่งเงินอย่างไร

โดยเฉพาะคู่ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส การทำสัญญาร่วมลงทุน หรือเอกสารแสดงเจตจำนงร่วมกันไว้ล่วงหน้า จะช่วยลดความขัดแย้งในอนาคตได้เช่นกัน 

ที่มาข้อมูล :  DDproperty

อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ