
ผลสำรวจล่าสุดโดย Saving ซึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครอง 1,000 คน ในสหรัฐฯ ว่ามีการให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินกับลูกที่โตแล้วหรือไม่ ให้ความช่วยเหลือเท่าใด รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสถานะการเงินของพวกเขา
จากผลสำรวจพบว่า ในปี 2025 ผู้ปกครองจำนวนครึ่งหนึ่งให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับลูกที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 47% ในปี 2024
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อผลักดันให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยเหลือลูกของตัวเอง สะท้อนจากการให้เงินช่วยเหลือที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยอยู่ที่เกือบ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (50,823 บาท) หรือเกือบ 18,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (609,876 บาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน
เมื่อแบ่งตามเจเนอเรชันพบว่า Gen Z (อายุ 18-28 ปี) ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากพ่อแม่ที่ 1,813 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (61,428 บาท) มากกว่ากลุ่มมิลเลนเนียล (อายุ 29-44 ปี) ที่ได้เงินอยู่ที่ 863 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (29,240 บาท) ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน เนื่องจากกลุ่มมิลเลนเนียลส่วนใหญ่มีรายได้มากกว่าและเริ่มสร้างตัวได้แล้ว
แม้ว่าโดยเฉลี่ยมิลเลนเนียลจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินลดลง แต่ Gen Z ที่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ค่าเฉลี่ยโดยรวมสูงขึ้น
ขณะที่กลุ่ม Gen X (อายุ 45-60 ปี) แทบจะไม่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากพ่อแม่เลย เนื่องจากส่วนใหญ่มีอิสรภาพทางการเงินหรือได้รับมรดกตกทอดจากครอบครัวแล้ว
ทั้งนี้การเลี้ยงดูลูกที่โตแล้วนั้นเป็นเรื่องหนักใจสำหรับพ่อแม่ไม่น้อย เนื่องจากพวกเขาต้องเจียดเงินเตรียมเกษียณของตัวเองจุนเจือลูกที่ยังสร้างตัวไม่ได้ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ยังต้องทำงาน
ผลสำรวจพบว่า พวกเขาให้เงินช่วยเหลือลูกเฉลี่ย 1,589 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (53,838 บาท) คิดเป็นสองเท่าของเงินเก็บเตรียมเกษียณ ซึ่งอยู่ที่ 673 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (22,802 บาท)
เราทราบจำนวนค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ที่พ่อแม่อเมริกันเต็มใจแบกรับเพื่อช่วยเหลือลูกไปแล้ว คราวนี้เรามาลงรายละเอียดกันว่าในแต่ละเดือนพวกเขาต้องช่วยลูกจ่ายค่าอะไรบ้าง
5 อันดับค่าใช้จ่ายของ Gen Z ที่พ่อแม่ช่วยจ่ายมากที่สุด
ค่าครองชีพที่แพงขึ้นจากเงินเฟ้อ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อของกินของใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนอาหารนั้นมีราคาแพงไม่แพ้สินค้าหรูหรือของฟุ่มเฟือยเลย แม้จะเป็นสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน แต่ปัจจุบันการจะใช้จ่ายสบายๆ ตามใจตัวเองแบบไม่คิดหน้าคิดหลังนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ของกินของใช้จึงเป็นค่าใช้จ่ายอันดับแรกที่ผู้ปกครองให้ความช่วยเหลือลูก
เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ซึ่งแม้จะอยู่อันดับ 5 ที่พ่อแม่ส่วนใหญ่เห็นว่าควรให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับลูก แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุด และทำให้ผู้ปกครองคิดหนักว่าจะหาเงินมาจ่ายอย่างไรให้พอ โดยต่อเดือนมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเกือบ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในปี 2024 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน
ด้วยแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับผู้ปกครองรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับลูกน้อยลง โดยผู้ปกครอง 77% หันมาตั้งเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือลูก ไม่ได้ให้เงินโดยไร้เงื่อนไขเหมือนเมื่อก่อน เพิ่มขึ้นจาก 71% ในปี 2024 ทำให้ในอีกสองปีข้างหน้า ผู้ปกครองเกือบ 40% วางแผนที่จะหยุดให้เงินช่วยเหลือลูกที่โตแล้ว และอีก 28% จะระงับความช่วยเหลือภายในสามถึงสี่ปีข้างหน้า โดยให้เหตุผลว่าต้องการผลักดันให้ลูกของพวกเขาพึ่งพาตัวเองและสร้างอิสรภาพทางการเงิน
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney