แก้หนี้ยั่งยืน คือ เป้าหมายใหญ่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศออกมา และมีนโยบายแก้หนี้ครั้งใหญ่ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา เพื่อหวังช่วยเหลือให้คนไทยหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เรื้อรัง โดยเฉพาะ การนำวิธีการปรับโครงสร้างหนี้ มาเปิดทางให้กับ “ลูกหนี้” ที่ผ่อนหนี้ไม่ไหวอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นลูกหนี้รายย่อย (หนี้บัตรเครดิต, หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล) หรือลูกหนี้ SMEs ก็ตาม แต่เงื่อนไขสำคัญ คือ ต้องเป็นลูกหนี้ที่ไม่เคยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างหนี้เป็นสิ่งที่ ทั้ง “เจ้าหนี้” และ “ลูกหนี้” ต้องทำร่วมกัน ส่วนรายละเอียดเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ มีอะไรบ้าง ดังนี้
เจ้าหนี้ต้องช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งรายย่อยและ SMEs
- ต้องเสนอแนวทางปรับโครงสร้างหนี้ ที่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้และเหลือเงินเพียงพอในการดำรงชีพ ตั้งแต่ลูกหนี้เริ่มมีปัญหาชำระหนี้ แต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย (NPL) และไม่เคยปรับโครงสร้างหนี้มาก่อน อย่างน้อย 1 ครั้ง
- กรณีลูกหนี้เป็น NPL แล้ว ทางเจ้าหนี้ต้องเสนอปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่เป็น NPL อีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ก่อนฟ้องดำเนินคดี โอนขายหนี้ ยึดทรัพย์ และ
- ห้ามโอนขายหนี้ในช่วง 60 วัน หลังเสนอแผนปรับโครงสร้างหนี้
3 สิ่งที่ลูกหนี้ควรทำ เมื่อผ่อนหนี้ไม่ไหว และอยากแก้ไขหนี้
- รีบติดต่อเจ้าหนี้เมื่อมีปัญหา
- เข้าใจเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การขยายระยะเวลาชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยให้จำนวนผ่อนต่อเดือนลดลง แต่ดอกเบี้ยรวมจะมากขึ้น
- ทำตามเงื่อนไขที่ได้รับ ชำระหนี้ตรงเวลา
ช่องทางที่ลูกหนี้สามารถใช้ในการติดต่อเจ้าหนี้ มีอะไรบ้าง
- ลูกหนี้สามารถติดต่อเจ้าหนี้เพื่อปรึกษาปัญหาหนี้และขอปรับโครงสร้างหนี้ได้โดยตรง ผ่านสาขาของสถาบันการเงิน Call Center เจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรือฝ่ายงานที่ดูแลสินเชื่อของลูกหนี้
- ช่องทางเสริมของ ธปท. เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ ได้แก่
สิ่งที่จะได้จากเข้าโครงการ ปรับโครงสร้างหนี้
- ไม่ถูกคิดค่าปรับไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด (prepayment fee) สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลทุกประเภท ยกเว้นกรณี refinance สินเชื่อบ้านในช่วงเวลา 3 ปีแรก เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสได้ดอกเบี้ยต่ำ
- ไม่ถูกคิดค่าธรรมเนียมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ยกเว้นค่าประเมินราคาหลักประกัน ซึ่งจำเป็นต้องนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณากำหนดเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
- ไม่ถูกคิดดอกเบี้ยบนดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่ให้แก่ลูกค้ารายย่อย รวมกรณีบัญชีเดินสะพัดของสินเชื่อวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี (overdraft) (เริ่ม 1 ก.ค. 67)
- ลูกหนี้ได้รับข้อมูลสำคัญถูกต้องครบถ้วน และเปรียบเทียบได้ รวมทั้งส่งเสริมวินัยทางการเงิน ผ่านการให้ข้อมูลของผู้ให้บริการเพื่อกระตุกพฤติกรรมตลอดวงจรหนี้ เช่น การมีคำเตือน “กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว” และอัตราดอกเบี้ยต่อปีต่ำสุด – สูงสุดในสื่อโฆษณา การแจ้งเตือนเมื่อจะมีภาระค่างวดหรืออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น (เริ่ม 1 ก.ค. 67)
- การแจ้งข้อดี-ข้อเสียของแต่ละทางเลือกในการแก้หนี้ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดทำคลิปส่งเสริมความรู้ทางการเงินเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทัน และรู้วิธีแก้ไขปัญหาเมื่อต้องประสบภัยทางการเงิน
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อ call center ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร 1213