
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ธนาคารออมสิน ได้อนุมัติแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions Roadmap ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ.2050 ซึ่งจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ราว 1.72 ล้านตัน พร้อมตั้งแผนลดก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมลงได้มากกว่า 50% ภายในปี 2573 ทั้งการลดใช้น้ำมันและใช้พลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์รูฟท็อป การส่งเสริมการปลูกป่า 50,000 ไร่ และใช้นโยบายสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของลูกค้าผ่านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ
“ขณะนี้ออมสินได้ทยอยติดตั้งแผงโซลาร์ทั้งสำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขาทั่วประเทศ คาดว่าปี 2568 จะครบ 900 สาขา อีกทั้งจะเปลี่ยนการใช้รถยนต์ขององค์กรมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมสร้างจุดชาร์จ โดยใน กทม.จะเปลี่ยน 100% ภายใน 3 ปีข้างหน้า และต่างจังหวัดภายใน 5 ปี อีกทั้งจะเดินหน้าปลูกป่า เพื่อดูดซับคาร์บอนอย่างต่อเนื่องและช่วยพัฒนาชุมชน สร้างอาชีพ เสริมรายได้ให้กับชุมชนโดยรอบ เป็นต้น”
นายวิทัย กล่าวต่อว่า สำหรับการปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นกลุ่มโรงไฟฟ้านั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ธนาคารจะไม่ปล่อยสินเชื่อแก่ธุรกิจเชื้อเพลิง ถ่านหินและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และจะเริ่มการใช้คะแนน ESG Score (Environmental, social, and corporate governance) หรือแผนการดำเนินการงาน Net Zero มาประเมินการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าสินเชื่อมูลค่า 500 ล้านบาทขึ้นไป โดยผลคะแนน ESG Score จะนำมาประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ มอบส่วนลดดอกเบี้ย และ/หรือ อนุมัติเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้เป็นพิเศษ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนกิจการที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ธนาคารออมสินได้จัดกลุ่มธุรกิจที่จะสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ธุรกิจที่ไม่สนับสนุน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ได้แก่ ธุรกิจถ่านหิน 2.ธุรกิจที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ โดยหลีกเลี่ยงการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่มีคะแนน ESG Score ในระดับต่ำมาก 3.ธุรกิจที่ให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ผ่านการกำหนดสิทธิประโยชน์แก่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ส่งเสริม BCG ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและซัพพลายเชน หรือกิจการบริษัทที่มีคะแนน ESG Score ในระดับสูง เป็นต้น
สำหรับภาพรวมขณะนี้ ออมสินมีพอร์ตสินเชื่อรวม 2.2 ล้านล้านบาท มีลูกค้าถ่านหินขนาดใหญ่ 1 ราย ตามแผนดังกล่าว จะสนับสนุนให้ลูกค้าทั้งรายเก่าและใหม่เปลี่ยนผ่านสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยภายในปี 2573 พอร์ตสินเชื่อ ESG จะมีสัดส่วนของโรงไฟฟ้า พลังงานสะอาด, ซัพพลายเชนอีวี 35 % และส่งเสริมสินเชื่อให้ลูกค้าบริษัทจดทะเบียนต้องมีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าสัดส่วนลูกค้ากลุ่มนี้ไว้ 40%
นายวิทัย กล่าวด้วยว่า นโยบายดังกล่าวถือเป็นการตอบสนองแผนประเทศที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศ Net Zero ภายในปี พ.ศ.2608 หรือ ค.ศ.2065 ซึ่งเชื่อมั่นว่ารัฐบาลใหม่จะสนับสนุนแผนงานนี้ ขณะเดียวกันเพื่อลดความเสี่ยงในการปล่อยกู้ที่ไม่เหมาะสม ทางธนาคารมีแผนดำเนินงานตามกรอบปล่อยสินเชื่อพลังงานสะอาด, สินเชื่อที่เน้นลูกค้า บจ.ที่มีแผนดำเนินธุรกิจ ESG, ลูกค้าโครงสร้างพื้นฐาน โดยกลุ่มเหล่านี้ จะเป็นรูปแบบสัญญาสินเชื่อที่มีสถาบันการเงินหลายแห่งเป็นเจ้าหนี้ร่วมกัน (Syndicated loan) โดยแผนงานปล่อยกู้ลูกค้าขนาดใหญ่เหล่านี้ ก็จะเป็นการนำผลกำไรไปเป็นส่วนช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยให้มีต้นทุนที่ต่ำได้ต่อไป.