ธนาคารกรุงเทพ ประเมินเศรษฐกิจไทยมีความท้าทายมากขึ้น จากวิกฤติในภาคเศรษฐกิจจริง ทั้งส่งออก การจ้างงานที่เริ่มชะลอตัว แนะไทยตุนเงินสำรองรับมือภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 66
เมื่อวันที่ 4 ต.ค.65 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า ในปี 2566 เป็นปีที่มีความท้าทายมากกว่าปี 2565 จากการเผชิญวิกฤตในภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะในภาคการส่งออก การจ้างงาน โดยขณะนี้ไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยแล้ว สะท้อนจากภาคการส่งออกของไทยที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 65
นอกจากนี้ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. พบว่า ตัวเลขการบริโภคภายในประเทศขณะนี้เริ่มทรงตัวและนิ่ง จากช่วงก่อนหน้านี้ที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ จึงมีเพียงภาคการท่องเที่ยวที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นความท้าทาย และไทยจะต้องบริหารให้ดี มิเช่นนั้นไทยอาจก้าวไม่พ้นเหว
ดร.กอบศักดิ์ ยังมองถึงทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ว่า จากการที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงถึง 8% สูงสุดในรอบ 40 ปีนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จำเป็นต้องใช้ยาแรงเพื่อสกัดตัวเลขเงินเฟ้อให้ลดลง จึงเชื่อว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปจนถึง 5% เป็นอย่างน้อย ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ ตัวเลขผู้ว่างงานจะพุ่งสูงถึง 5% และภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยประธานเฟด กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อคุมตัวเลขเงินเฟ้อให้ลดลง
ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นไปที่ 1% กว่า ในขณะที่ประเทศอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ Emerging Market อาจต้องปรับขึ้นไปถึง 4-8% โดยเชื่อว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในช่วงต้นปี 66 และมองว่าช่วงเดือนเมษายนปี 66 จะเห็นภาพชัดเจนว่า โลกจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ และเมื่อถึงตอนนั้น อัตราเงินเฟ้อจะปรับลดลง ทำให้ ธปท. ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า วิกฤติในกลุ่ม Emerging Market เช่น สปป.ลาว เมียนมา บังกลาเทศ ปากีสถาน ศรีลังกา รวมถึงประเทศในลาตินอเมริกา ที่ขณะนี้เริ่มเกิดปัญหาสะสม และจะลุกลามขึ้นในช่วงที่เฟดมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด และความสามารถทางการแข่งขันที่ลดลงหลังวิกฤติผ่านพ้นไป ซึ่งถือเป็นอีกสิ่งที่น่ากังวลใจ
"วิกฤติเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศ Emerging Market ในช่วงกลางปีหน้า เราต้องทำตัวไม่ให้เป็นเหยื่อ โดยไทยจะต้องมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอ เพราะทุกประเทศที่มีปัญหา เกิดขึ้นเพราะเงินสำรองหาย ดังนั้น ไทยต้องถนอมเงินสำรอง เพราะไทยจะต้องใช้เงินเยอะในช่วงกลางปี"
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า การที่เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ แต่ถือเป็นการอ่อนค่าในอัตราใกล้เคียงกันเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และถือเป็นการช่วยเกษตรกร ช่วยภาคส่งออก และภาคการท่องเที่ยวของไทย พร้อมแนะให้มีการจัดสรรงบประมาณโปรโมตการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
รวมถึงมีการผลักดันเรื่อง LTR หรือวีซ่าระยะยาวสำหรับนักท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุนโดยตรง หรือ FDI ส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ PPP ในโครงสร้างพื้นฐาน และแนะให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้านต่างๆ ของไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยว และการลงทุนที่เริ่มกลับมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในสายตาชาวต่างชาติ