กนง.มองเศรษฐกิจฟื้นตัว มติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยที่ 0.5% จับตาราคาพลังงานดันเงินเฟ้อพุ่ง หวั่นกระทบราคาสินค้า-ค่าครองชีพ แต่ยังไม่จำเป็นต้องปรับนโยบายการเงินให้เข้มขึ้น เหมือนต่างประเทศ ตามดูค่าบาทอ่อน-ความเสี่ยงระบาดรอบใหม่ มองแง่ดีถึงผู้ติดเชื้อเพิ่ม แต่คงไม่ต้องกลับมาล็อกดาวน์
นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมว่า กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50 % ต่อปี โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดและการเปิดประเทศ รวมทั้งการเร่งกระจายวัคซีน ส่งผลให้ความเสี่ยงการขยายตัวของเศรษฐกิจด้านต่ำลดลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการฟื้นตัวยังเปราะบางและมีความไม่แน่นอน ทำให้ประเมินว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม ขณะที่มาตรการทางการเงินการคลังที่มีความต่อเนื่อง เน้นการฟื้นฟูและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้รายได้ฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง
ทั้งนี้ ธปท.ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2564 และปี 2565 จะขยายตัวใกล้เคียงกับที่คาดไว้ในการประชุมครั้งก่อนที่ 0.7% และ 3.9% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานโลก โดยในเบื้องต้นมองว่าเป็นการปรับขึ้นชั่วคราว และจะอยู่ในกรอบเป้าหมายการดำเนินนโยบายการเงิน แต่ยอมรับว่า หากราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและยาวนานกว่าที่คาดไว้ อาจจะเป็นภาระอุดหนุนของกองทุนน้ำมันมากกว่าที่คาด โดยในขณะนี้ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังไม่กระทบต่ออัตราเงินเฟ้อโดยตรงมากนัก เพราะมีมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล และการลดค่าไฟฟ้า และประปาของรัฐ รวมทั้งผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่รับต้นทุนไว้โดยไม่ปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้ยังไม่กระทบกับค่าครองชีพของประชาชนมากนัก
“ในการประชุม กนง.ครั้งหน้าในเดือน ธ.ค.ซึ่ง ธปท.จะมีการปรับประมาณเศรษฐกิจ คาดว่าจะมีการปรับขึ้นประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ และปีหน้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งจะจับตามองผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยตั้งแต่ต้นปีค่าเงินอ่อนค่าลงประมาณ 6-7% ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม แม้ในต่างประเทศจะเริ่มปรับนโยบายการเงิน เพื่อรองรับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แต่สำหรับประเทศไทยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นยังไม่ชัดเจนเหมือนในต่างประเทศ รายได้และกำลังซื้อทยอยฟื้นตัว จึงยังไม่เห็นความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายการเงินที่ทำอยู่ในขณะนี้”
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าวต่อว่า กนง.ประเมินว่า ในระยะต่อไป แรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐจะแผ่วลงหลังจากที่ได้เร่งไปในช่วงก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงบ้างตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว 150,000 คน และปีหน้าอยู่ที่ 6 ล้านคน ทั้งนี้ การปรับขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะไม่ได้ขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลอย่างเดียว แต่ขึ้นกับกฎเกณฑ์ของประเทศนั้นๆ เช่น เมื่อกลับจากประเทศไทยแล้วต้องกักตัวหรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อแรงจูงใจที่จะมาท่องเที่ยว ด้านปัจจัยเสี่ยงที่ ธปท.ยังต้องติดตาม คือ การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้กลับมาระบาดอีกครั้ง.