ใช้จ่ายเงิน “เราชนะ” คึกคัก ผู้ประกันตน ม.33 รอ ครม.เคาะช่วยสัปดาห์หน้า

เราชนะวันแรกคึกคัก! ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.8 ล้านคน ทยอยใช้สิทธินำเงินไปจับจ่ายซื้อสินค้าตามร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการแล้ว ส่วนกลุ่มผู้มีแอปเป๋าตัง คัดกรองเบื้องต้นเหลือผู้มีสิทธิ 8 ล้านคน จาก 16.8 ล้านคน คลังชี้ข้าราชการ-ลูกจ้างองค์กรของรัฐ ห้ามกดยืนยันรับสิทธิเราชนะ มิเช่นนั้นจะถูกเรียกเงินคืน “อาคม” เผยกลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มีลุ้น รอ “แรงงาน” ชง ครม.สัปดาห์หน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ก.พ.2564 เป็นวันแรกที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.80 ล้านคน ได้รับเงินโอนจากโครงการเราชนะ วงเงิน 7,000 บาทต่อคนเป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งหลังจากตรวจสอบแล้วพบว่า หลังมีเงินโอนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยอัตโนมัติแล้วนั้นประชาชนได้ทยอยนำเงินที่ได้รับไปจับจ่ายใช้สอยทันที โดยใช้จ่ายได้ที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเราชนะและคนละครึ่ง ด้วยวิธีการสแกนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตน

ขณะที่การตรวจสอบสิทธิผ่านเว็บไซต์เราชนะ ของกลุ่มผู้ใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ผ่านการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกันรวม 16.8 ล้านคนนั้น ขณะนี้ระบบได้คัดกรองตามคุณสมบัติ สัญชาติไทย อายุ 18 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ไม่เป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานภาครัฐ ข้าราชการการเมือง หรือผู้รับบำนาญ หรือเบี้ยวหวัดจากส่วนราชการ ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 300,000 บาท ตามฐานข้อมูลล่าสุด (ปี 2562) และไม่เป็นผู้มีเงินฝากรวมทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท ตามฐานข้อมูลล่าสุด (ปี 2563) นั้น ขณะนี้เหลือจำนวนผู้ได้รับสิทธิเราชนะเพียง 8 ล้านคน จากทั้งหมด 16.8 ล้านคน ซึ่งกลุ่มนี้เงินจากโครงการเราชนะ จะโอนให้วันที่ 18 ก.พ.นี้ ดังนั้น เมื่อรวมทั้ง 2 กลุ่ม คือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ใช้แอปเป๋าตัง มีผู้มีสิทธิรับเงินเราชนะรวม 21.8 ล้านคน

ส่วนกลุ่มที่ไม่มีข้อมูลใดๆไม่มีทั้งบัตร สวัสดิการแห่งรัฐ และแอปเป๋าตัง รวมถึงกลุ่มที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือนั้น ยังสามารถลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์เราชนะ หรือลงทะเบียนได้ที่ธนาคารกรุงไทยใกล้บ้าน ไปจนถึงวันที่ 12 ก.พ.64 ส่วนประชาชนที่ตรวจสอบสิทธิแล้วไม่มีสิทธิ สามารถยื่นทบทวนสิทธิได้ในวันที่ 8 ก.พ.นี้ และหากยังติดขัดหรือยังมีประชาชนยังไม่ได้ลงทะเบียนเราชนะอีก จะเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้งวันที่ 15 ก.พ.นี้ ซึ่งกรณีกลุ่มที่ไม่มีข้อมูลใดๆนั้น เมื่อทราบข้อมูลที่ชัดเจนแล้ว ก็จะมีวิธีการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือเยียวยาต่อไป
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผ่านโครงการเราชนะ ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของโครงการอาจมีปัญหาติดขัด ก็ต้องแก้ไขและตรวจสอบข้อมูลกันไป เมื่อมีข้อมูลครบถ้วนแล้วเชื่อว่าจะได้รับความช่วยเหลืออย่างแน่นอน

“กระทรวงการคลังต้องยึดข้อมูลภาษีปี 2562 เป็นหลักก่อน เพราะมีข้อมูลแค่นี้แต่หากปีนี้ตกงาน ไม่ได้เป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 ก็มาลงทะเบียนรอบเก็บตกได้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลพร้อมให้การช่วยเหลือทุกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน ขอให้มาลงทะเบียน มาแจ้งสิทธิ์ตัวเองด้วย”

นายอาคมยังกล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 นั้น ต้องรอให้ รมว.แรงงาน นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา คาดว่าจะเสนอภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ขณะนี้ถือว่าแนวทางการช่วยเหลือชัดเจนในระดับหนึ่งแล้ว เหลือเพียงรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น “เสนอ ครม.เมื่อใด ก็จะเห็นรายละเอียดเมื่อนั้น ขอให้เชื่อว่ารัฐบาลช่วยเหลือเยียวยาแน่นอน”

สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาครั้งนี้ รัฐบาลจะช่วยเหลือราว 41 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.8 ล้านคน กลุ่มผู้ใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” 17 ล้านคน และผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 9 ล้านคน และอื่นๆอีก 1.2 ล้านคน

ด้านนางสาวกุลยา ตันติเตมิท รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า จากที่เว็บไซต์เราชนะได้เปิดให้ตรวจสอบสิทธินั้น พบว่า มีลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกันก่อนหน้านี้ ถูกระบุว่าได้สิทธิเราชนะนั้น ขอให้กดไม่เข้าร่วมโครงการเราชนะด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกเงินคืนในภายหลัง

“เมื่อถึงวันที่ 18 ก.พ.64 จะมีแถบข้อความขึ้นให้บนแอป “เป๋าตัง” และถามว่าท่านยืนยันจะเข้าร่วมโครงการเราชนะหรือไม่ ผู้ที่เป็นลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และรัฐวิสาหกิจ ที่เข้าเกณฑ์ไม่ได้รับเงินในโครงการนี้จะต้องกดไม่เข้าร่วมมาตรการ “เราชนะ” เพราะถ้าหากระบบตรวจพบภายหลังจะมีการเรียกเงินคืน”

ส่วนแนวทางช่วยเหลือกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวและลูกจ้างของรัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้น้อยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังมาดูแลกลุ่มนี้เพิ่มเติมแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างหาแนวทางช่วยเหลือต่อไป.