เงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง

Date Time: 24 ส.ค. 2563 05:01 น.

Summary

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤติโควิด-19 ได้เร่งให้ทั่วโลกก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ธนาคารกลางทั่วโลกต่างเร่งศึกษาและพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลของตนเอง

Latest

“ลูกยังไม่มา” แต่มีค่าใช้จ่ายหลักแสน! คนแต่งงานช้าลง อยากฝากไข่-แช่แข็งสเปิร์ม ใช้เงินมากแค่ไหน

ปุจฉา วิสัชนา ว่าด้วย “เงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง”

สุพริศร์ สุวรรณิก ธนาคารแห่งประเทศไทย

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤติโควิด-19 ได้เร่งให้ทั่วโลกก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ธนาคารกลางทั่วโลกต่างเร่งศึกษาและพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลของตนเอง (Central Bank Digital Currency : CBDC) ไม่ว่าจะเป็น การใช้ในระบบการชำระเงินระดับสถาบันการเงิน (Wholesale) โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์ (Distribution Ledger Technology : DLT) หรือบล็อกเชน (blockchain) ที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินอย่างหลากหลาย และการใช้ในรายย่อย (Retail) หรือก็คือ การนำมาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของเราๆท่านๆนั่นเอง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือเป็นธนาคารกลางอันดับแรกๆที่ได้เริ่มศึกษาและพัฒนา CBDC ซึ่งเริ่มต้นทดสอบระบบการชำระเงินต้นแบบในระดับสถาบันการเงินมาตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้ชื่อโครงการ “อินทนนท์” โดยในปัจจุบันคืบหน้าไปมาก และอยู่ในขั้นตอนการต่อยอดศึกษา ออกแบบและพัฒนา CBDC ในภาคธุรกิจ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ จะทำให้ ธปท.เข้าใจรูปแบบ ผลกระทบ รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมการออกใช้จริง หลายท่านอาจคุ้นหูกับโครงการนี้บ้างแล้ว แต่อาจยังมีคำถามที่ฉงนอยู่ในใจ วันนี้จึงขออาสาตอบประเด็นข้อสงสัย

CBDC คืออะไร? Central Bank Digital Currency คือเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ พูดง่ายๆ ในกรณีของไทย ก็เหมือนเงินบาทหรือธนบัตรที่ออกโดยแบงก์ชาติ เพียงแต่อยู่ในรูปแบบ “ดิจิทัล”

ทำไมธนาคารกลางสนใจออก CBDC สำหรับรายย่อยด้วย? สาเหตุสำคัญคือ การเข้าถึงบริการทางการเงินที่สูงขึ้น แม้ว่าประชาชนจะไม่มีบัญชีกับธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงิน และการลดต้นทุนทางการเงินทั้งระบบของประเทศ ส่วนปัจจัยเร่งสำคัญคือ การพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยภาคเอกชน ซึ่งอาจลดทอนประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายการเงินและเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศได้

CBDC ต่างจากคริปโทเคอร์เรนซี (cryptocurrency) และสเตเบิลคอยน์ (stable coin) อย่างไร? ความแตกต่างสำคัญคือ “ผู้ออกใช้” และ “คุณสมบัติความเป็นเงิน” โดย CBDC ออกโดย “ธนาคารกลาง” ของแต่ละประเทศ และเข้าข่ายนิยามความเป็นเงินอย่างครบถ้วน คือ 1) เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย 2) เป็นที่เก็บรักษามูลค่า คือมีมูลค่ามั่นคง และ 3) เป็นหน่วยวัดมูลค่าของทั้งสินค้าและบริการ ในทางตรงกันข้าม คริปโทเคอร์เรนซี คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนแทนที่เงินสกุลปกติ แต่ไม่เข้าข่ายคุณสมบัติความเป็นเงินและไม่มีกฎหมายรองรับให้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เช่น บิทคอยน์ ขณะที่สเตเบิลคอยน์ เช่น ลิบร้า คล้ายกับคริปโทเคอร์เรนซี คือ ออกโดยหน่วยงานเอกชนบนเทคโนโลยีบล็อกเชน และไม่มีกฎหมายรองรับให้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเช่นกัน แต่มีเงินสกุลปกติ หลักทรัพย์ หรือทรัพย์สิน (เช่น ทองคำ) ค้ำประกันให้มูลค่ามีความไม่แน่นอนลดลงบ้าง

แล้วพร้อมเพย์ และ e-Money ล่ะ? พร้อมเพย์ คือ ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นการโอนเงินที่เราๆท่านๆฝากไว้ระหว่างตัวกลางคือ “ธพ.” ด้วยกัน ขณะที่ e-Money คือ เงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกโดยตัวกลางคือ “หน่วยงานเอกชน” ในทางตรงกันข้าม CBDC ซึ่งเปรียบเสมือนเงินสดหรือธนบัตรแต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งถือว่าไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้เลย

แล้วอย่างนี้ ธพ.จะยังมีบทบาทอยู่หรือไม่? ธพ.จะยังคงมีความสำคัญอยู่ เพียงแต่บทบาทอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ยกตัวอย่าง เงินหยวนดิจิทัลของจีน ยังเป็นการกระจาย CBDC จากธนาคารกลางไปยังประชาชนผ่าน ธพ. และไม่มีการให้ดอกเบี้ยจากการถือ CBDC ทำให้ยังมีเงินฝากใน ธพ. และถือ CBDC ในส่วนน้อย

ดังนั้น การจะนำ CBDC มาใช้ในระดับรายย่อย จำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาและพิจารณาผลกระทบในมิติต่างๆ การจะนำ CBDC มาใช้จริง จึงไม่ได้อยู่ที่ “ความรวดเร็ว” ว่าต้องออกใช้นำหน้าประเทศอื่นๆ แต่จุดสำคัญอยู่ที่ “ความพร้อม” มากกว่าครับ.

**บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด**


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ