
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สถาบันการเงิน ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดผลกระทบในช่วงโควิด-19 ว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา มียอดหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แล้วทั้งสิ้น 6.88 ล้านล้านบาท คิดเป็นจำนวนลูกหนี้ 12.8 ล้านราย โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่ได้รับการช่วยเหลือเป็นสินเชื่อรายย่อย แต่หากคิดเป็นตัวภาระหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้เป็นวงเงินมากที่สุด
ทั้งนี้ ธปท.กำลังติดตามลูกหนี้สินเชื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และสินเชื่อรายย่อยที่อยู่ระหว่างการพักหนี้ และจะสิ้นสุดโครงการในเดือน ต.ค.นี้ โดยให้สถาบันการเงิน และธุรกิจให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) เจ้าหนี้ หารือกับลูกหนี้ หากเห็นว่าไม่สามารถจะกลับมาส่งหนี้ได้ตามภาระหนี้เดิม ให้เสนอขอปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม โดยยืดระยะเวลาชำระหนี้ให้ยาวขึ้น และลดภาระการผ่อนหนี้รายเดือนลงอาจจะอยู่ที่ 48-60 เดือนตามความสามารถของลูกหนี้
ส่วนการให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) วงเงิน 500,000 ล้านบาท ล่าสุด ณ วันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา มีสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติการให้กู้แล้ว 107,210 ล้านบาท มีผู้ได้รับสินเชื่อ 64,772 ราย หรือเฉลี่ยต่อราย 17 ล้านบาท โดยสัดส่วนผู้ได้รับสินเชื่อเป็นเอสเอ็มอีขนาดเล็กมากที่สุด 76.2% เป็นสินเชื่อที่ให้เอสเอ็มอีขนาดกลาง 17.5% และเป็นเอสเอ็มอีขนาดใหญ่ 6.3%
ทั้งนี้ ธปท.ระบุว่า ธปท.เตรียมที่จะขยายเวลาการปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลนออกไปเพื่อรองรับผลกระทบของเอสเอ็มอีที่อาจจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติม หรือต้องการสภาพคล่องเพื่อการปรับโครงสร้างการผลิตในช่วงปี 2564 ด้วย โดยหลังจากสิ้นสุดโครงการเฟสแรกในสิ้นปี 2563 นี้ ธปท.จะต่อเวลาโครงการออกไปจนถึงสิ้นปีหน้า ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ของโครงการที่กำหนดให้สามารถต่ออายุได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 6 เดือน.