มาแล้ว! แบงก์รัฐ “ธอส.–ออมสิน” ประกาศลดดอกเบี้ยตามแบงก์เอกชน ขณะที่ ธ.ก.ส.ยังรีรอต่อเนื่อง ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุผลจากการลดดอกเบี้ยแบงก์ใหญ่ครั้งนี้
มาแล้ว! แบงก์รัฐ “ธอส.–ออมสิน” ประกาศลดดอกเบี้ยตามแบงก์เอกชน ขณะที่ ธ.ก.ส.ยังรีรอต่อเนื่อง ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุผลจากการลดดอกเบี้ยแบงก์ใหญ่ครั้งนี้ ช่วยเอสเอ็มอี–รายย่อยลดภาระดอกเบี้ยได้ทันที 1.6–1.7 หมื่นล้านบาท
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าและประชาชน และสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จึงประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.125% ต่อปี ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยที่ต่ำสุดในระบบสถาบันการเงินในปัจจุบัน โดยมีผลบังคับใช้ 16 ส.ค.62 เป็นต้นไป
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าวว่า เพื่อตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงให้ความสำคัญต่อประชาชน โดยเฉพาะธนาคารออมสินมีลูกค้ารายย่อยเป็นจำนวนมาก ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลูกค้ารายย่อย โดยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท MRR และ MOR ลดลง 0.13% ต่อปี ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 2 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ลดไปก่อนหน้า โดยมีผลตั้งแต่ 16 ส.ค.2562 เป็นต้นไป
“สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารยังไม่มีการปรับลดแต่อย่างใด เนื่องจากมีลูกค้าผู้ฝากสลากออมสินเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินฝากรวม โดยในต้นเดือน ก.ย.นี้ ธนาคารจะเปิดรับฝากสลาก ออมสินพิเศษ 3 ปี งวดที่ 127 ซึ่งจะยังคงดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม เพื่อส่งเสริมการออมอย่างต่อเนื่อง”
ขณะที่นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้น ธ.ก.ส.อยู่ระหว่างดูความเหมาะสมและต้นทุนของธนาคาร
ทั้งนี้ สำหรับผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้นั้น บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่หลายแห่ง โดยส่วนใหญ่ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท MOR และ MRR ลง 0.125%-0.25% ส่งผลประโยชน์โดยตรงผ่านการลดต้นทุนทางการเงินให้กับลูกค้าเอสเอ็มอีและลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งจะส่งผลดีต่อลูกค้าเอสเอ็มอีที่เป็นลูกค้าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ต่ำกว่า 1.7 ล้านราย ซึ่งทอนเป็นต้นทุนทางการเงินสำหรับลูกค้าเอสเอ็มอีเหล่านั้นที่ลดลงประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่หากรวมลูกค้าสินเชื่อรายย่อย โดย เฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันบางกลุ่ม อาทิ Home for Cash (สินเชื่อบ้านแลกเงิน) ที่มักมีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ผูกกับอัตราดอกเบี้ย MRR นั้น จะทำให้การลดดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้ มีผลช่วยลดต้นทุนทางการเงินกับลูกค้ารายย่อยอีกราว 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น โดยรวมแล้วสามารถช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับทั้งลูกค้าเอสเอ็มอีและรายย่อยรวมเป็นประมาณ 16,000-17,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.1% ของจีดีพี
สำหรับผลต่อธนาคารพาณิชย์ คาดว่าจะได้รับ ผลกระทบผ่านรายได้จากเงินให้กู้ยืมที่ลดลง ซึ่งจะมีผลกดดันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในไตรมาส 3 ราว 0.06% เทียบกับระดับ 2.86% ในไตรมาส 2 แต่รายได้ค่าธรรมเนียมที่เริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้นช่วยบรรเทาผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในภาพรวมลงได้ระดับหนึ่ง.