คลังรวมพลัง ส.อ.ท.หางานให้คนจนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จำนวน 1 ล้านคน จาก 3 ล้านคนเข้าทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมกลุ่ม ส.อ.ท.ทดแทนแรงงานต่างด้าว ส่วนคนจนภาคเกษตรอีก 2 ล้านคน ส่งให้ ธ.ก.ส.ช่วยดูแล ทั้งด้านลงทุนปลูกพืช หาตลาดให้ และรับประกันรายได้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยมีข้อตกลงความร่วมมือในการช่วยเหลือประชาชนที่ลงทะเบียนขอรับสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 11.4 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่ประมาณ 3 ล้านคนที่ยากจน มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี เข้าไปสมัครทำงานในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท.ได้ เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตรงกับเป้าหมายของกระทรวงการคลังที่ต้องการให้ความช่วยเหลือคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปีก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยขยายความช่วยเหลือไปยังกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
“การหารือมีข้อสรุปว่า โรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิก ส.อ.ท.มีความต้องการแรงงานทั่วประเทศประมาณ 1 ล้านคน กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และในต่างจังหวัด ที่เป็นหัวเมืองใหญ่ ซึ่งหากประชาชนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท เข้าร่วมโครงการจะได้รับการฝึกฝนและอบรมทักษะการทำงานใหม่ เพื่อให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพสามารถทดแทนแรงงานต่างด้าว ที่คาดว่าจะทยอยเลิกจ้างประมาณ 1 ล้านคน”
นายอภิศักดิ์กล่าวว่า การให้ความช่วยเหลือของ ส.อ.ท.ในการนำแรงงานที่ไม่มีฝีมือไปพัฒนาเพื่อต่อยอดครั้งนี้ จะช่วยลดปริมาณคนจนที่มีรายได้น้อยถึง 1 ล้านคน ส่วนที่ยังเหลืออีก 2 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตร ต้องหามาตรการช่วยเหลือในรูปแบบอื่นๆ ขณะนี้ได้มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รับผิดชอบ ทั้งด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และช่องทางการทำตลาด โดย ธ.ก.ส.จะแนะนำให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืช และให้ความมั่นใจว่าพืชเกษตรที่เพาะปลูกใหม่มีตลาดรองรับแน่นอน เพื่อให้เกษตรกรเลิกการปลูกพืชซ้ำซาก และกล้าที่จะปลูกพืชที่ให้ผลตอบแทนสูงทดแทน
ส่วนคนจนในเมืองที่ไม่อยากเข้าไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม ก็มีธนาคารออมสินคอยให้ความช่วยเหลือ โดยสามารถเข้ามาขอสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพและค้าขายได้ ซึ่งในลักษณะของการให้ความช่วยเหลือจะแตกต่างกับคนในต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้ธนาคารออมสินอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการ พร้อมตั้งเป้าหมายว่าจะต้องศึกษาให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย.60 พร้อมนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เดือน ธ.ค.เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติต้นปี 61
“มั่นใจว่าภาวะเศรษฐกิจปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปีนี้แน่นอน เพราะรัฐบาลได้วางแผนการแก้ไขและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย ให้มีรายได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามส่งเสริมเรื่องการลงทุน ซึ่งถือเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยปีหน้าเศรษฐกิจน่าจะเติบโตเกิน 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อย่างแน่นอน เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อผลักดันจีดีพีให้สูงขึ้น จากที่ขยายตัวเพียง 0.8% เมื่อปี 58 มาเป็น 3.8% ในปี 60”
นายอภิศักดิ์กล่าวว่า ในอนาคตการแข่งขันในเวทีการค้าโลกจะรุนแรงมาก การบริการด้านต่างๆของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังจะต้องรวดเร็วและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการมากขึ้น ล่าสุดกรมศุลกากร และการท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมมือยกระดับความยากง่ายการประกอบธุรกิจในประเทศไทย ด้านการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการจัดการและควบคุมการขนส่งสินค้าขาออกโดยระบบตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ ด้วยการบูรณาการระบบการทำงานของ 2 หน่วยงานที่จุดเดียว นอกจากนี้ยังนำระบบตัดบัญชีใบกำกับการขนย้ายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Matching) มาเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ (National Single Window : NSW) เพื่อลดปริมาณเอกสาร ลดขั้นตอนการทำงาน ลดความผิดพลาด ลดปัญหาการจราจร และลดระยะเวลาการให้บริการต่อตู้คอนเทนเนอร์เหลือ 20 วินาที ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในปีงบประมาณ 61 ที่ทั้ง 2 หน่วยงานร่วมมือประสานงานเพื่อยกระดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวในการเปิดงาน “มหกรรมการลงทุน SET in the City” ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า รมว.คลัง ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังคิดมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มีอยู่ 14 ล้านคนเพิ่มเติมในเฟส 2 ให้พ้นจากความยากจนให้แล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งกระทรวงการคลังต้องการให้ตลาดทุนเข้ามามีส่วนช่วยหามาตรการผลักดันให้คนกลุ่มนี้พ้นจากความยากจน โดยสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้น เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งต้องการให้สถาบันการเงินและตลาดทุนออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการออมและรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ.