ดีเดย์ วันนี้ 9 มิ.ย. แบงก์ใหญ่ ไทยพาณิชย์-ธอส.-กรุงศรี ประกาศใช้ดอกเบี้ยชุดใหม่ ขึ้นดอกเบี้ยทั้งเงินกู้ เงินฝาก ตามมติ กนง.ปรับดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ 2% ต่อปี ขณะ ออมสิน-ธ.ก.ส. อั้นไม่ไหว ขอปรับขึ้นตามตลาด
ยังไม่มีข้อมูลบ่งชี้ ว่า ในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า (13-14 มิ.ย.) ท้ายที่สุด Fed จะตัดสินใจอย่างไร ในเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย ท่ามกลางหุ้นสหรัฐฯดิ่งรอ สวนทางสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. พุ่งขึ้น 20.20 ดอลลาร์ หรือ 1.03% ปิดที่ 1,978.60 ดอลลาร์/ออนซ์ เช่นเดียวกับ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ของทั่วโลกที่ดีดตัวขึ้นรอแล้วเช่นกัน
หลังจาก มีการคาดการณ์กันว่า Fed อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบล่าสุด อีก 0.25% ดันให้ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ ขยับมาอยู่ที่ ระดับ 5.25-5.50% แต่อีกด้าน ก็มีการประเมินกันว่า ตัวเลขคนว่างงานสหรัฐที่สูงขึ้น อาจมีผลทำให้ Fed ตัดสินใจหยุดขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้
ขณะประเทศไทย เมื่อ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % จาก 1.75% เป็น 2.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที แม้จะเห็นแนวโน้มการลดลงของเงินเฟ้อในประเทศ และประเมินทั้งปี 2566 เงินเฟ้อจะลงสู่กรอบเป้าหมาย เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5% ได้ แต่ถือว่ายังเป็นตัวเลขที่สูงกว่าในอดีต ทำให้ยังมีความจำเป็นที่ต้องปรับนโยบายการเงิน เพื่อให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไปรองรับ
ซึ่งทันที ที่กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย จนถึงวันนี้มีธนาคารเบอร์ใหญ่หลายๆ แห่ง ประกาศขึ้นดอกเบี้ยทั้งฝั่งเงินกู้ และเงินฝาก ยกแผง เพื่อให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยนโยบาย 2% แล้วหลายแห่ง โดย วันนี้ 9 มิ.ย. หลายธนาคารขนาดใหญ่ ประกาศใช้ดอกเบี้ยชุดใหม่ทั้งในฝั่งเงินฝาก และเงินกู้ ดังนี้
SCB ปรับขึ้นดอกเบี้ยกู้-ฝาก มีผล 9 มิ.ย.
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นรายล่าสุด ที่ประกาศออกมา ระบุ ปรับ อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.05-0.25% ต่อปี พร้อมกับปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR MLR และ MOR 0.18-0.20% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.87% เป็น 7.05% ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.60% เป็น 6.80% ต่อปี และ อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) จาก 7.145% เป็น 7.325% ต่อปี
ธอส. ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25%
เช่นเดียวกัน วันนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งฝั่งเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ และเงินฝากประจำ 0.05-0.35% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ให้มีผล 9 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ธอส.แจ้งว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ ธอส. ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์อื่นๆ เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ขณะเดียวกัน ด้วยพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ธนาคาร ยังมีสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำให้ลูกค้า กลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัย อีกด้วย
ธ.กรุงศรีฯ ใช้ดอกเบี้ยชุดใหม่วันนี้
ขณะวันนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ก็ประกาศใช้อัตราดอกเบี้ยชุดใหม่ เช่นเดียวกัน ตามทิศทางของดอกเบี้ยนโยบาย โดย ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.30% ต่อปี พร้อม ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.20-0.25% ต่อปี
ส่งผลให้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารกรุงศรีฯ สำหรับ MLR อยู่ที่ 7.03%
ส่วน ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี MOR เพิ่มขึ้น 0.20% เป็น 7.325% และลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) เพิ่มขึ้น 0.25% เป็น 7.15% ต่อปี
ธนาคารรัฐ ออมสิน-ธ.ก.ส.ยันช่วยกลุ่มเปราะบาง
ส่วนธนาคาร ที่ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยมีให้ผลตั้งแต่เมื่อวาน คือ ธนาคารออมสิน โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.35% ต่อปี เพื่อให้ลูกค้าผู้ฝากเงินได้รับประโยชน์ตามทิศทางของดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะ ด้านเงินกู้ ธนาคารปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทในอัตรา 0.25% ต่อปี ซึ่งผู้บริหารชี้ว่า ที่ผ่านมา ธนาคารได้มีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยประคับประคองและดูแลกลุ่มลูกค้ารายย่อยและกลุ่มเปราะบาง ไม่ให้ได้รับผลกระทบมากนัก ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR สำหรับลูกค้ารายย่อย อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อื่นๆ เป็นต้น
ด้าน นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ระบุก่อนหน้า ว่าเพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของตลาด ธ.ก.ส. จึงขอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินฝาก 0.05-0.50 % ต่อปี ขณะเดียวกันได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ร้อยละ 0.10-0.25 ต่อปี อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน ยังมี นโยบายการเติมทุนผ่านสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุน ให้กับกลุ่มอาชีพ SME เกษตรกร เป็นต้น