สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลสำรวจความเห็น นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน คาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2568 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,556 จุด โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปี 2568 พร้อมแนะจัดพอร์ตโดยแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศในสัดส่วน 29.56% มากกว่าหุ้นไทยที่ 22.52% ของพอร์ต
สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 26 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 22 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 2 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 2 บริษัท ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
สมมติฐาน GDP ปี 2568 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวก ผู้ตอบที่ให้ตัวเลขต่ำสุดคือ 2.4% ตัวเลขสูงสุดคือ 3.3% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.93% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ต.ค.67) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.01%
นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน คาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2568 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,556 จุด ทั้งนี้ คาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ช่วงม.ค.-ธ.ค. 68 มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุดที่ 1,322 จุด สำหรับจุดสูงสุดคาดเฉลี่ยที่ระดับ 1,581 จุด
เมื่อมองยาวไปจนถึงสิ้นปี 2568 ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในปี 2568 ได้แก่ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ผู้ตอบแบบสำรวจ 76.92% เทคะแนนให้อย่างชัดเจน ว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 73.08% โหวตให้ผลประกอบการ บจ. ปี 2568 ตามมาด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบ 69.23% และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา มีผู้ตอบ 57.69% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทย ในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2568 ได้แก่ ปัจจัยด้าน Fund Flows จากต่างประเทศออกจากตลาดหุ้นไทย 74.07% ของผู้ตอบทั้งหมด เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลลบ รองลงมาปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ มีผู้ตอบ 69.23% ตามมาด้วยปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 61.54% และการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้โหวต 55.56% ตามลำดับ
สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลควรมีนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ
ส่วนใหญ่เสนอให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็น 50% ของผู้ตอบเสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นในไทย
ถัดมาจำนวน 38.46% ของผู้ตอบ เสนอด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ สนับสนุนการวิจัยและผลิตสินค้าเทคโนโลยี การท่องเที่ยว Entertainment complex รวมถึงลดภาษีนิติบุคคลและเสนอนโยบายช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ ลดภาษีบุคคลธรรมดา สนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้ และให้ความสำคัญด้านการศึกษา
ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำให้มีเงินสด/เงินฝากระยะสั้น 10.72% ของพอร์ต และมีกองทุนตราสารหนี้ 22%
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 29.56% รองลงมาลงทุนในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.52%
ตามมาด้วยการแบ่งเงินลงทุนไว้ในทองคำ/กองทุนทองคำ 8.10% กองทุนอสังหา REIT 6.90% และสินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin 0.20%
โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ AI-Technology และ Selective Asia เช่น จีน เกาหลี และเวียดนาม
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney