
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด AOT ปิดที่ 61.75 บาท ลบ 1.50 บาท, PTT ปิด 32 บาท ลบ 0.75 บาท, DELTA ปิด 75.50 บาท บวก 3 บาท, BDMS ปิด 27.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BBL ปิด 134 บาท ลบ 2 บาท
หุ้นไทยปรับตัวลงแรง ทำดัชนีหลุด 1,330 จุด ทำสถิติต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี กังวลสวนทิศทางตลาดต่างประเทศ จากความกังวลทางการเมือง วินิจฉัยคุณสมบัตินายกฯมีผลต่อการอภิปรายงบประมาณปี 68 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า รวมทั้งต่างชาติกังวลความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ หลังมีชื่อคนในรัฐบาลเป็นแคนดิเดตประธานบอร์ดคนใหม่ หวั่นแบงก์ชาติถูกแทรกจากรัฐบาล
บล.โกลเบล็ก ระบุว่า หุ้นไทยปรับตัวแดนลบสวนทางกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้น จากความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศไทย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาล่าช้าเป็นตัวกดดันดัชนี โดยมีแรงขายหนักในหุ้นกลุ่มพลังงาน และขนส่ง ขณะนี้มีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ นำโดย DELTA ทั้งนี้ นักลงทุนคาดธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้ง ในปี 67 ทำให้ Bond Yield ปรับตัวลง ขณะที่หุ้น MKT Cap ขนาดใหญ่ ยังมีแรงขายกดดัน
บล.ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์ กองทุน LTF โดยตลาดหวังว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้น โดยข้อดีของ LTF ที่ประสบความสำเร็จ LTF ในอดีตมีเงื่อนไขที่น่าสนใจ เช่น ระยะเวลาการถือครองที่สั้นเพียง 3 ปีหากซื้อปลายปีขายต้นปี ทำให้เงินหมุนเร็ว วงเงินสูง 500,000 บาท คาดหวังว่า LTF จะช่วยให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เหมือนช่วงที่ผ่านมาที่เคยมีเงินไหลเข้าถึง 60,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยพยุงตลาดได้
โดย 3 ข้อ ที่ต้องจับตามองว่า LTF ใหม่จะประสบความสำเร็จเหมือนเดิมหรือไม่ คือ 1.วงเงิน ถ้าวงเงินยังคงอยู่ที่ 500,000 บาท ต่อคน และไม่ถูกนำไปรวมกับการลดหย่อนอื่นๆ ก็จะเป็นผลดี 2.Holding Period ระยะเวลาการถือครองของ LTF ในอดีตที่ประสบความสำเร็จ คือ 3 ปี ถือว่าสั้น ทำให้คนตัดสินใจลงทุนง่าย แต่ถ้าต้องถือยาว 8 ปี แบบกอง Thai ESG คนจะตัดสินใจยากขึ้น เพราะระหว่าง 8 ปี ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น
3.LTF บังคับให้ถือหุ้นไทยหรือไม่ ถ้า LTF ใหม่เหมือนกับ กองทุน SSF หรือ ESG ที่สามารถลงทุนในหุ้นนอกประเทศได้เงินก็อาจจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยไม่เต็มที่!!
อินเด็กซ์ 51