
บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์เผยกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน Thailand ESG Fund (TESG) ที่จะเริ่มขายวันที่ 1 ธ.ค.66 ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีปี 66 ถึง 75 และระยะยาวเข้ามาทดแทนกองทุน SSF ที่จะหมดอายุสิ้นปี 67 ดังนั้น การลงทุนของกองทุน
น่าจะเอนเอียงไปในหุ้น หรือตราสารหนี้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG มากขึ้น
ฝ่ายวิจัยเอเซียพลัสได้ทำการค้นหาหุ้นที่จะได้สภาพคล่องเพิ่มเติมจากกองทุนในช่วงที่เหลือของปีไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า หรือ “หาหุ้นที่กองทุนซื้อแล้ว ซื้ออยู่ ซื้อต่อ” มีรายละเอียดดังนี้
1.ซื้อแล้ว (เดือน พ.ย.66) กองทุนเริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมาทุกวัน มูลค่ารวม 2.5 พันล้านบาท ผลักดัน SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น 37 จุด หรือ 2.6% มาอยู่ที่ 1,423 จุด และมีโอกาสซื้อต่อจากกองทุน ACTIVE FUND ที่สัดส่วนเงินสดของกองทุนราว 4%
2.ซื้ออยู่ (เดือน ธ.ค.66) คาดหวังเม็ดเงินใหม่จากกองทุน TESG เข้ามาหนุนในช่วงที่เหลือของปีราว 1-2 หมื่นล้านบาท 2.1 หุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นนี้ คาดว่าจะเป็นหุ้นใหญ่ที่มี ESG SCORE สูงๆ ซึ่งฝ่ายวิจัย ชื่นชอบ GULF, CPALL, SCC, CPN, CRC, EA, PTTGC, SCGP และอื่นๆ 2.2 ตราสารหนี้ที่ได้รับสนใจมากขึ้นคือ บริษัทจดทะเบียนที่ได้ออก ESG BOND ในช่วงที่ผ่านมา จะมีความต้องการในการระดมทุนเพิ่มเติม อาทิ EA, BEM, GPSC, TU, IVL, GULF, CPN, WHA ฯลฯ
3. ซื้อต่อ โดยต้นปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ฯจะจัดทำดัชนี SET50FF และ SET100FF ทำให้สถาบันต้องมีการออกกองทุนใหม่อิงกับดัชนีนี้ ซึ่งหุ้นใน SET100 ที่มี FREE FLOAT สูงจะได้รับการเพิ่มน้ำหนักมากกว่าปกติ ซึ่งฝ่ายวิจัยทำการศึกษามาพบว่ามีหุ้นอยู่ 8 SECTOR ที่จะถูกปรับเพิ่มน้ำหนัก และหุ้นที่มี FREE FLOAT เยอะสุดในกลุ่มนั้นๆ คือ BANK เพิ่มน้ำหนัก (BBL), CONS (STEC), TOURISM (CENTEL),CONMAT (SCC), HELTH (BDMS), PROP (AMATA), AGRI (STA), COMM (CPALL) เป็นต้น
จะเห็นได้ว่ามีหุ้นหลายบริษัทได้ประโยชน์ ฝ่ายวิจัยจึงคัดกรองหาหุ้นที่มีทั้ง ESG SCORE สูง พร้อม FREE FLOAT สูง น่าจะเป็นหุ้นที่ “กองทุนซื้อแล้ว-ซื้ออยู่-ซื้อต่อ” ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีถึงต้นปีหน้า ได้ผลลัพธ์คือ BANPU, SPALI, MINT, SCC, HANA, KBANK, SCB, BDMS, CPN, SIRI, AP, TISCO, BBL, AMATA, WHA!!
อินเด็กซ์ 51