แนวโน้มหุ้นไทย มี.ค. 65 ทรีนีตี้ให้แนวต้าน 1,700 จุด และ 1,740 จุด

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

แนวโน้มหุ้นไทย มี.ค. 65 ทรีนีตี้ให้แนวต้าน 1,700 จุด และ 1,740 จุด

Date Time: 1 มี.ค. 2565 15:13 น.

Video

วิธีเอาตัวรอดของ Wikipedia ไม่พึ่งโฆษณา ไม่มีค่าสมาชิก แต่อยู่มาได้ 23 ปี | Digital Frontiers

Summary

  • แนวโน้มหุ้นไทย มี.ค. 65 "ทรีนีตี้" ให้แนวต้าน 1,700 จุด และ 1,740 จุด แนวรับ 1,635 และ 1,600 จุด คาดวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ทำ Fund flow ไหลเข้าหุ้นไทยเพื่อหลบภัยในระยะสั้น

Latest


แนวโน้มหุ้นไทย มี.ค. 65 "ทรีนีตี้" ให้แนวต้าน 1,700 จุด และ 1,740 จุด แนวรับ 1,635 และ 1,600 จุด คาดวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ทำ Fund flow ไหลเข้าหุ้นไทยเพื่อหลบภัยในระยะสั้น

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 65 นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน มี.ค. 65 นี้ เราประเมินภาพว่า SET Index จะเคลื่อนไหวไปตามพัฒนาการของ 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. Geopolitical risk ระหว่างรัสเซียและยูเครน

จากการประเมินตราบใดที่ปัจจัยดังกล่าวยังยืดเยื้อและลากยาวออกไปจะเป็นผลบวกทางอ้อมต่อตลาดหุ้นไทยที่จะเห็น Fund flow ไหลเข้าเพื่อหลบภัยในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หากทั้ง 2 ฝ่ายหาข้อตกลงร่วมกันได้ คาดว่าจะเห็น Fund flow ไหลย้อนกลับไปยังประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวอย่างมากก่อนหน้านี้ เช่น ยุโรป และสหรัฐฯ เป็นต้น

2. แนวนโยบายการเงินของ Fed โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการประชุม FOMC ในวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ หากในที่ประชุมดังกล่าว Fed มีมติขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% คาดว่าตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกในระยะสั้นได้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่อยู่ในราคาไปหมดแล้ว

แต่หาก Fed ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.50% เพื่อยับยั้งเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ประเมินจะเป็น Negative surprise ต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น ผ่านการปรับสูงขึ้นของ Bond yield แบบฉับพลัน เนื่องจาก ณ ขณะนี้ตลาด Price in ปัจจัยดังกล่าวไปเพียงแค่ 7% เท่านั้น อย่างไรก็ดี มองประเด็นการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% จะมีผลต่อตลาดหุ้นในลักษณะเจ็บแล้วจบ ซึ่งจะถือเป็นเรื่องดีต่อภาพตลาดหุ้นในระยะกลางได้

3. พัฒนาการของเศรษฐกิจไทย ซึ่งส่วนหนึ่งอิงอยู่กับสถานการณ์ Covid ในประเทศที่ล่าสุดยังคงเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในระดับสูง มองประเด็นดังกล่าวเมื่อมาประกอบกับแรงส่งของนโยบายภาครัฐที่ลดลง และระดับราคาสินค้าโดยรวมที่อยู่สูง จะส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนทยอยลดลงได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีนักต่อกลุ่ม Domestic consumption

โดยรวม สอดคล้องกับดัชนี Mobility ปัจจุบันที่บ่งชี้ว่าคนเริ่มออกมาดำเนินชีวิตและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกบ้านในระดับต่ำอีกครั้ง รวมถึงรายงานของ ธปท.ล่าสุด ที่เริ่มบ่งชี้ถึงสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว มองปัจจัยนี้จะมีผลโดยตรงต่อ EPS ของ SET ในช่วงถัดไปได้ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก ธนาคาร และกลุ่ม Consumer discretionary ต่างๆ และมีโอกาสกระทบกับระดับเป้าหมายของ SET ในท้ายที่สุด

4. ความเป็นไปได้ที่รัสเซียอาจถูกถอดออกจากการคำนวณดัชนี MSCI Emerging Market (MSCI EM) ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะทำให้เห็นเม็ดเงิน Fund flow ไหลเข้าสู่ประเทศ EM อื่นๆ ได้ ซึ่งไทยเราถือเป็นหนึ่งในนั้น โดยจากการคำนวณของทรีนีตี้ล่าสุดพบว่า หากเกิดกรณีดังกล่าว น้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI EM นี้จะขยับสูงขึ้นจาก 1.85% สู่ระดับ 1.89% คิดเป็นเม็ดเงินไหลเข้าราว 140 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4,600 ล้านบาท หากอิงกับเม็ดเงินลงทุนที่อิงอยู่กับดัชนี MSCI EM ราว 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

"โดยมองกรอบแนวต้านของดัชนีในเดือนนี้ที่ระดับ 1,700 จุด และ 1,740 จุด ซึ่งระดับ 1,740 จุดนี้ถือเป็นระดับที่ยืดสุดแล้วตามวิธีคำนวณด้วยโมเดล Earning yield gap ในขณะเดียวกัน มองกรอบแนวรับที่น่าสนใจของดัชนีสำหรับการเพิ่มน้ำหนักที่ระดับ 1,635 จุด และ 1,600 จุดตามลำดับ"

สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำประจำเดือนนี้ ยังคงเน้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนไปยังกลุ่ม Defensive ที่มี Alpha เฉพาะตัว เหมาะกับการเลือก Selective ในช่วงเวลาที่ Valuation ของดัชนีอยู่ในโซนสูง และยังมีความไม่แน่นอนของปัจจัยรอบด้านอยู่ คือ กลุ่มการแพทย์ หรือ Healthcare และกลุ่มบริหารหนี้ หรือ AMC ซึ่งในส่วนของกลุ่ม Healthcare นั้น เลือก BDMS, BCH, CHG, IMH และกลุ่ม AMC เลือก BAM, JMT, CHAYO


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ