ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 เม.ย.64 ปิดที่ 1,596.27 จุด เพิ่มขึ้น 1.15 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 76,521.44 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,386.14 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด IRPC ปิด 4.08 บาท บวก 0.22 บาท, DELTA ปิด 353 บาท บวก 29 บาท, TOP ปิด 57.75 บาท ลบ 2.50 บาท, GUNKUL ปิด 3.96 บาท บวก 0.22 บาท และ BBL ปิด 128.50 บาท บวก 0.50 บาท หุ้นไทยบวกเล็กน้อย ได้ปัจจัยบวกจากความคาดหวังเศรษฐกิจฟื้นตัว แต่โดนแรงขายทำกำไรทำให้ยืนเหนือ 1,600 จุดไม่ได้
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มองสถานการณ์การเมืองในเมียนมารุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในเมียนมามากกว่าคาด เพราะไม่สามารถทำธุรกิจภายนอก ร้านค้าหลายแห่งต้องปิด สินค้าออกจากโรงงานยากลำบาก การนำสินค้าไทยข้ามชายแดนเข้าไปยังทำได้ แต่มีอุปสรรคในการกระจายสินค้าภายในเมียนมา ธุรกิจเกิดการชะงักงัน
โดยกลุ่ม PTT มีหุ้น OR ที่มีธุรกิจร่วมทุนธุรกิจคลังและค้าส่งปิโตรเลียม ความจุคลังสินค้ากว่า 1 ล้านบาร์เรล และ LPG กว่า 4.5 พันตัน ซึ่งแผนเดิมจะสร้างเสร็จปี 64 ปัจจุบันสร้างไปแล้ว 65% และร่วมทุนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกที่มีเป้าเปิด 70 แห่งภายในปี 66 ขณะนี้ก่อสร้างไปแล้ว 2 สถานี ทั้งสองธุรกิจร่วมทุนมีแนวโน้มล่าช้ากว่าแผน
ด้าน PTTEP มีธุรกิจสำรวจและผลิตก๊าซ (รายได้จากเมียนมา 10% ของรายได้รวม) และได้รับอนุญาตให้เริ่มโครงการ Gas to Power ครบวงจร ขนาด 600 MW อยู่ระหว่างหาพันธมิตรท้องถิ่น คาดว่าการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะล่าช้ากว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้ปี 65
รวมถึงยังมีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้แก่ BBL สาขาย่างกุ้ง ยังเปิดดำเนินงานแบบให้ลูกค้านัดหมายเข้ามา จำนวนธุรกรรมลดลง ช่วงที่มีปัญหาการเมืองรุนแรง ส่วน KBANK ให้พนักงานคนไทยที่สาขาย่างกุ้งกลับมาทำงานที่ไทย ส่วนพนักงานที่เป็นคนเมียนมาให้เลือกว่าจะทำงานที่ออฟฟิศหรือ WFH แต่ผลกระทบต่อธนาคารจำกัดมากๆ
นอกจากนั้นยังมีอีกหลายบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนในเมียนมา และได้รับผลกระทบเช่น MEGA (รายได้จากเมียนมาราว 40% ของรายได้รวม), OSP (ประมาณ 9%), SCC (น้อยกว่า 5%), AEONTS (ราว 1-2%), TTCL, DELTA, BA, กลุ่มซีพี, เบทาโกร, ไทวา เป็นต้น!!
อินเด็กซ์ 51