ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 1 ก.ค.63 ปิดที่ 1,349.44 จุด บวก 10.41 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 53,380.74 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,306.40 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STA ปิด 29.25 บาท บวก 2 บาท, PTT ปิด 38.50 บาท บวก 0.75 บาท, BAM ปิด 25.25 บาท บวก 0.95 บาท, KCE ปิด 23.70 บาท บวก 0.90 บาท และ PTTEP ปิด 95.50 บาท บวก 3.75 บาท
ราคาหุ้น บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ดีดขึ้นแรง ท่ามกลางการซื้อขายหนาแน่น รับหุ้นลูกที่จะเข้าเทรดในตลาดหุ้นวันแรกวันที่ 2 ก.ค. บล.หยวนต้าระบุว่า STA ถือหุ้น 56% ใน บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) ซึ่งทำธุรกิจถุงมือยางที่ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดโควิด-19 หากอิงราคา IPO ของ STGT ที่ 34 บาท เทียบเท่า NAV ต่อหุ้น STA ที่ 25.11 บาท โดยทุก 5 บาทของ STGT ที่เปลี่ยนแปลงเทียบกับราคา IPO จะส่งผลต่อ NAV ของ STA ราว 2 บาทต่อหุ้น ขณะที่มูลค่าธุรกิจยางธรรมชาติของ STA ประเมินเบื้องต้นอิง PE ที่ 12 เท่า อยู่ที่ 11 บาท
ขณะที่ STGT จะเริ่มซื้อขายใน SET วันที่ 2 ก.ค.ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจ ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หลังเสนอขายหุ้นไอพีโอ 438.78 ล้านหุ้น ในราคา 34 บาท/หุ้นกลับมาที่ภาพรวมตลาดหุ้น “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ มองตลาดเดือน ก.ค.เป็นลักษณะเทรดดิ้ง คือ เมื่อดัชนีปรับขึ้น นักลงทุนจะขายทำกำไรออกมา และเมื่อดัชนีปรับตัวลง ก็จะกลับเข้าซื้อ มองระดับแนวต้านสำคัญและเป็นจังหวะในการขายหุ้นออกคือระดับ 1,400 จุด ส่วนแนวรับแรกที่เข้าซื้อจะอยู่ที่ 1,310 จุด
ทั้งนี้ หุ้นไทยยังคงขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนรายย่อย ที่มีสัดส่วนกว่า 50% ดังนั้นการเลือกลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กหรือ sSET จึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น Growth stock มี 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ BGRIM, GPSC, RATCH 2. กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ CPF, TFG, RBF 3.กลุ่มบริหารสินทรัพย์ เลือก JMT
นอกจากนี้ยังแนะหุ้น PTG หลังปลดล็อกเคอร์ฟิวทำให้การเดินทางกลับมาทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึง SFLEX ซึ่งผลิตแพ็กเกจจิ้งที่อิงกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน.
อินเด็กซ์ 51