ก.ล.ต.ขยับคุมเข้มตั๋วบีอีเจ้าปัญหา ดีเดย์บังคับใช้ไตรมาส 4 แบไต๋ให้ลงทุนเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ห้ามขายให้กับนักลงทุนรายใหญ่หมดสิทธิ์ จับตาเชือด EARTH ทั้งแพ่ง-อาญา ระบุรอข้อมูล Spacial Audit หลังหนี้ปูดอีก 2 หมื่นล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นแก้เกณฑ์ออกหุ้นกู้ ตั๋วเงิน หรือบีอี และบทบาทของตัวกลางผู้ขาย ก.ล.ต. เปิดให้ผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกและเสนอขายตราสารหนี้ เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม และรองรับความต้องการของผู้ต้องการระดมทุนได้อย่างเพียงพอ รวมทั้งเพิ่มมาตรฐานในการปฏิบัติงานของตัวกลาง เพื่อให้มีระบบควบคุมและสอบทานผลประโยชน์ของผู้ลงทุนและผู้ออกตราสาร ทั้งนี้ คาดว่าประกาศจะมีผลใช้บังคับภายในไตรมาส 4 ปีนี้
สำหรับสาระสำคัญของการเสนอปรับปรุง ดังนี้ 1.การเสนอขายบีอี จะให้ทำได้เฉพาะแบบวงจำกัด หรือ PP-วงแคบ และแบบผู้ลงทุนสถาบันเท่านั้น โดยยกเลิกการให้เสนอขายแบบผู้ลงทุนรายใหญ่ 2.การเสนอขายตราสารหนี้แบบ PP-วงแคบ ให้เสนอขายได้เฉพาะกลุ่มผู้ลงทุนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้ออกตราสาร ผู้ลงทุนสถาบัน หรือผู้ลงทุนรายใหญ่
3.การเสนอขายตราสารหนี้แบบผู้ลงทุนรายใหญ่ ให้เสนอขายได้เฉพาะหุ้นกู้เท่านั้น โดยผู้ออกตราสารต้องยื่นขออนุญาตก่อนจะออกตราสารหนี้ และเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยต้องจัดให้มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ด้วย 4.การเสนอขายตราสารหนี้แบบผู้ลงทุนทั่วไปจะมีการกำหนดเพิ่มเติมคุณสมบัติของผู้ออกตราสารในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ความสามารถในการชำระหนี้ โดยต้องจัดให้มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ด้วย และ 5.เพิ่มมาตรฐานการปฏิบัติงานของตัวกลางที่เป็นผู้ขายตราสารหนี้ต่อผู้ลงทุน โดยกำหนดให้ต้องมีการแยกหน่วยงานที่ติดต่อกับผู้ออกตราสาร และหน่วยงานขายที่ติดต่อกับผู้ลงทุนออกจากกันอย่างชัดเจน
นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า แนวทางในการปรับปรุงกฎเกณฑ์ดังกล่าว ได้คำนึงถึงความสมดุลระหว่างความจำเป็นของภาคธุรกิจในการมีช่องทางในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ และระดับการมีเครื่องมือเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนตามประเภทผู้ลงทุนและช่องทางการลงทุน โดย ก.ล.ต. ได้หารือกับตัวแทนทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และสมาคมที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนมาแล้วชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ประสงค์จะรับฟังความเห็นในวงกว้างเพื่อให้ แน่ใจว่า แนวทางการปรับปรุงแก้ไขจะมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
นายรพีกล่าวถึงกรณีบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH ที่ยื่นขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยอ้างว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ โดยมีหนี้ปูดเพิ่มขึ้นมากว่า 47,480 ล้านบาท ทั้งที่งบการเงินฉบับล่าสุดที่นำส่งต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 12 พ.ค.60 มีหนี้สินเพียง 25,034 ล้านบาทว่า ก.ล.ต. อยู่ระหว่างรอการส่งรายงานการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) ของบริษัท เพราะต้องการทราบข้อมูลของหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และเหตุใดถึงไม่ถูกระบุในงบการเงินก่อนหน้านี้ มีข้อบกพร่องหรือมีการเอาไปแอบหรือไปซ่อนไว้ตรงไหน โดยจะพิจารณาข้อมูลจากศาลล้มละลายกลางที่บริษัทไปยื่นขอฟื้นฟูกิจการด้วยว่ามีรายละเอียดอย่างไร และศาลจะรับคำร้องหรือไม่
“หลังจากนี้จะมีกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าบริษัทหรือผู้บริหารได้มีการกระทำที่เข้าข่ายความผิด ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ทั้งทางแพ่งและอาญาหรือไม่อย่างไร ซึ่งนอกจากผู้บริหารแล้ว จะมีการตรวจสอบการทำงานของผู้สอบบัญชีของบริษัทด้วย”.