กองทุนลดหย่อนภาษี รอซื้อวันสุดท้ายอาจไม่คุ้ม! เปิดทริกลงทุนยังไงลุ้น 2 เด้งทั้ง “กำไร-สิทธิภาษี”

Investment

Fund

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

กองทุนลดหย่อนภาษี รอซื้อวันสุดท้ายอาจไม่คุ้ม! เปิดทริกลงทุนยังไงลุ้น 2 เด้งทั้ง “กำไร-สิทธิภาษี”

Date Time: 17 พ.ย. 2568 09:00 น.

Video

จาก "รวยเงิน จนเวลา" สู่เกษียณ 35! ของพอล ภัทรพล? l Money Secret EP.13

Summary

ผู้เชี่ยวชาญแนะวางแผนลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีใน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2568

  • ต้องศึกษาเรื่องรายได้, เงื่อนไขกองทุน, ความเสี่ยงที่รับได้, และวันซื้อขาย
  • กลยุทธ์ DCA ยังใช้ได้ แต่ผลตอบแทนอาจไม่เท่ากับเริ่มตั้งแต่ต้นปี
  • กองทุน RMF เน้นกระจายความเสี่ยงทั้งสินทรัพย์และภูมิภาค
  • จับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ, นโยบายการเงินจีน, และความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน

Latest


นับถอยหลังช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณบอกลาปีเก่า แต่ยังเป็น "โค้งสุดท้าย" ที่สำคัญอสำหรับนักลงทุนที่ต้องการวางแผนประหยัดภาษีผ่านกองทุนรวมลดหย่อนภาษี

ความท้าทายไม่ได้มีเพียงแค่เวลาที่กระชั้นชิด แต่ยังรวมถึงความผันผวนของตลาดโลกที่รออยู่ข้างหน้า การตัดสินใจลงทุนในจังหวะนี้ จึงต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบมากกว่าปกติ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดทั้งการลดหย่อนภาษีและโอกาสสร้างผลตอบแทน

เพื่อไขข้อข้องใจและวางกลยุทธ์การลงทุน Thairath Money ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในรายการ Thairath Money Night Stand EP.22 กับ บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด ที่มาให้คำตอบ พร้อมย้ำ 4 เรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจ


นับถอยหลังไม่ถึง 2 เดือน ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีตอนนี้ทันไหม?

สำหรับช่วงเวลา 2 เดือนสุดท้ายของปี 2568 ในการวางแผนภาษี บดินทร์ ให้ความเห็นว่ายังทัน แต่ต้องวางแผนดี ๆ เพราะเวลาค่อนข้างกระชั้น โดยเน้นย้ำถึง 4 เรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

1. ศึกษาเรื่องรายได้และวงเงินลดหย่อน สิ่งแรกที่ต้องทำคือศึกษาว่าตนเองมีรายได้ทั้งปีประมาณเท่าไหร่ เพื่อกำหนดวงเงินที่สามารถนำไปลงทุนเพื่อซื้อกองทุนได้ไม่เกินสิทธิ์ที่กำหนด

2. ทำความเข้าใจเงื่อนไขการลงทุน กองทุนลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทมีเงื่อนไขการซื้อและการถือครองที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องดูให้ดี

3. ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยง กองทุนลดหย่อนภาษีมีหลายแบบและหลายระดับความเสี่ยง นักลงทุนจึงต้องดูความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองประกอบการตัดสินใจ

4. ตรวจสอบวันสุดท้ายที่สามารถซื้อได้ แม้ว่าในประเทศไทยอาจซื้อได้ถึงวันทำการสุดท้าย แต่สำหรับกองทุนที่เป็นต่างประเทศ ประเทศนั้น ๆ อาจหยุดทำการไปแล้ว ดังนั้น ไม่ควรซื้อในวันสุดท้าย และควรเริ่มวางแผนทยอยลงทุนตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า


“ซื้อก้อนเดียว” หรือ “ทยอยซื้อ”

บดินทร์ ให้มุมมองว่า การลงทุนแบบ DCA ตอนนี้ ยังสามารถทำได้ แต่จะไม่ได้รับประโยชน์เท่ากับคนที่เริ่ม DCA มาตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากตอนนี้สินทรัพย์ทุกตัว เช่น หุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ ถือว่ามีราคาสูงขึ้นหมดนับจากต้นปี

ซึ่งข้อดีของการ DCA คือช่วยในการเฉลี่ยราคา ลดความผันผวนของสินทรัพย์ และลดความผิดพลาดในการจับจังหวะตลาด เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย สามารถตั้งระบบซื้ออัตโนมัติรายครึ่งเดือนได้

แต่สำหรับการซื้อก้อนเดียวนั้น ถ้าเชื่อว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น การลงเงินก้อนเดียวอาจได้ประโยชน์มากกว่า อย่างไรก็ตาม การเลือกกลยุทธ์ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด

บดินทร์ แนะนำว่า กลยุทธ์ DCA ใช้ได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ลดการตามตลาด และที่สำคัญคือ ลดเรื่องของอารมณ์ ในการลงทุน

อย่างไรก็ดี การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีเป็นการลงทุนระยะยาว อย่างน้อย 5-10 ปี ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนทบต้น (Compounding Effect) หรือที่เรียกว่า "ให้เงินทำงาน" และยังช่วยรักษาอำนาจซื้อท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อด้วย

ซึ่งกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ได้มีแต่สินทรัพย์เสี่ยงสูงเท่านั้น แต่ยังมีกองทุนความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งมีความผันผวนต่ำ และยังสามารถได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้


ซื้อกองทุนอะไรดี? เลือกถูกมีโอกาสทำกำไรสองเด้ง

บดินทร์ ให้มุมมองว่า การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีนั้น มีโอกาสทำกำไร 2 เด้ง ทั้งผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว และผลจากการลดหย่อนภาษี

จากสถิติ หากลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือตราสารหนี้ระยะยาว 3-5 ปี โอกาสที่ผลตอบแทนจะเป็นบวกค่อนข้างสูง การลงทุนในระยะเวลาที่นานพอจะช่วยให้เงินได้ทำงาน แต่หากเกิดความผันผวนในระยะสั้น สุดท้ายราคาก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวและทำกำไรได้ในที่สุด

สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจใน 2 เดือนสุดท้าย แนะนำว่า

กองทุน RMF ให้เน้นกระจายความเสี่ยงทั้งในแง่ของสินทรัพย์และภูมิภาค เนื่องจากมีความหลากหลายของสินทรัพย์สูง การเลือกกองทุนจึงต้องพิจารณาจากความสามารถในการรับความเสี่ยง และระยะเวลาถือครองด้วย

  • ผู้รับความเสี่ยงสูง เน้นไปที่ หุ้นสหรัฐฯ หรือหุ้นโลก เพื่อถือเป็น Core Portfolio และอาจเพิ่มธีมเฉพาะอย่างกลุ่มเทคโนโลยีเข้าไปได้ 
  • ผู้รับความเสี่ยงต่ำ เน้นตราสารหนี้เป็นหลัก และอาจเพิ่มหุ้นโลกเล็กน้อย เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากตราสารหนี้ในปัจจุบันมีดอกเบี้ยต่ำ

ส่วนกองทุน Thai ESG แนะนำให้เน้นการลงทุนที่ให้ปันผลสูง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ และมีแนวโน้มเติบโตในระดับ 2% ขณะที่หุ้นไทยส่วนใหญ่มักอยู่ในกลุ่มวัฏจักรซึ่งจะเติบโตช้าตามเศรษฐกิจ

ดังนั้น ธีมที่น่าสนใจสำหรับ Thai ESG คือกลุ่ม High Dividend เพราะ เงินปันผลจะช่วยรองรับเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง และในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ หุ้นปันผลส่วนใหญ่มักทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์


ปัจจัยต้องจับตา 2 เดือนสุดท้าย

บดินทร์ พุทธอินทร์ ทิ้งท้ายว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ จะมีเหตุการณ์สำคัญระดับโลกที่เข้ามากระทบการลงทุน ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ เพราะหากไม่ลดดอกเบี้ย ตลาดอาจผันผวนได้อีก

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้จับตา การประชุมนโยบายการเงินการคลังของจีน รวมถึงความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี การประกาศผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ด้วย

อย่างไรก็ตาม บดินทร์  ย้ำว่า ความผันผวนอาจเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี สิ่งที่สำคัญคือการ "Back to Basic" โดยเน้นการติดตามและศึกษาเรื่องความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง วงเงินที่จะลงทุน และ เงื่อนไขการถือครอง หากมีการจัดพอร์ตที่เหมาะสมและเลือกกองทุนตามสิทธิ์ จะช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของตลาดมากนัก


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ