เศรษฐกิจชะลอ-หุ้นไทยโตต่ำ หวังทำกำไรจาก “ราคาหุ้น” ยาก! บลจ.กสิกรไทย ส่งกองทุน K-VALUE ล่าผลตอบแทน

Investment

Fund

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เศรษฐกิจชะลอ-หุ้นไทยโตต่ำ หวังทำกำไรจาก “ราคาหุ้น” ยาก! บลจ.กสิกรไทย ส่งกองทุน K-VALUE ล่าผลตอบแทน

Date Time: 30 ก.ย. 2568 15:32 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

เศรษฐกิจไทยโตช้ากดดันตลาดหุ้น หวังทำกำไรจาก “ราคาหุ้น” ยาก บลจ.กสิกรไทย ชี้ ระยะยาว "ปันผล" คือพระเอก ส่งกองทุน K-VALUE หุ้นปันผล หาผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยยุคนี้

Latest


วันนี้ต้องยอมรับว่าภาพใหญ่เศรษฐกิจไทยโตได้เพียง 2% ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน จากอดีตที่เคยโตเฉลี่ย 7% ต่อปี ซึ่งเกิดจากทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง สังคมผู้สูงอายุ และหนี้ครัวเรือนสูง กดทับศักยภาพการเติบโต และกระทบต่อตลาดหุ้นไทยโดยตรง

แม้ตลาดหุ้นไทยตอนนี้จะ “พ้นจากหลุมลึก” แต่ระยะยาวยังท้าทาย ด้วยการเติบโตที่จำกัดตามภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนส่วนมากก็อยู่ช่วงเติบโตเต็มที่ ผลประกอบการจึงเคลื่อนไหวใกล้เคียง GDP ประเทศ

เมื่อการเติบโตและส่วนต่างราคาอาจไม่ใช่ความหวังของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกต่อไป แต่ข้อมูลชี้ว่าไม่ว่าตลาดจะบวกหรือลบ เงินปันผลยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ

ด้วยเหตุนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด จึงประกาศส่งกองทุน K-Value ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นปันผล เปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนสำหรับตลาดหุ้นไทยยุคนี้


หุ้นไทย “พ้นหลุม” แต่ระยะยาวโตช้าตามเศรษฐกิจ

ภารดี มุณีสิทธิ์ Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนข้างหน้ามี downside หรือความเสี่ยงขาลงที่ค่อนข้างจำกัดแล้ว เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ที่เคยกดดันตลาด ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือปัจจัยจากต่างประเทศ ได้คลี่คลายลงและตลาดรับรู้ไปพอสมควร

นอกจากนี้ การที่ภาครัฐมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่คาดว่าจะทำงานสอดประสานกันได้ดี ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไว้ อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง ทั้งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และหนี้ครัวเรือนที่สูง

ด้าน ดร.วิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย ได้ฉายภาพให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า ในอดีตเศรษฐกิจไทยเคยเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% แต่ได้ลดลงมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันคาดว่าจะโตได้เพียงราว 2% ซึ่งช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างเห็นได้ชัด

การเติบโตที่ช้าลงนี้ส่งผลโดยตรงต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน ทำให้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยจึงถูกขับเคลื่อนด้วยบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในช่วงเติบโตเต็มที่ (Mature Company) เช่น กลุ่มธนาคารและพลังงาน ซึ่งการเติบโตของรายได้มักจะใกล้เคียงกับ GDP ของประเทศ

เมื่อการเติบโตจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) อาจไม่ใช่คำตอบหลักอีกต่อไป “เงินปันผล” จึงกลายเป็นพระเอกที่โดดเด่นขึ้นมา ดร.วิน คาดการณ์ว่าในอีก 10-15 ปีข้างหน้า ผลตอบแทนรวมของหุ้นไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี

ซึ่งในจำนวนนี้จะมาจากการเติบโตของกำไรสุทธิเพียง 1% แต่มาจากเงินปันผลสูงถึง 4%

ข้อมูลในอดีตยังชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าดัชนี SET Index จะเป็นบวกหรือลบ แต่เงินปันผลยังคงเป็นบวกเสมอในทุกปี เปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ช่วยพยุงพอร์ตในยามตลาดผันผวน และเสริมผลตอบแทนให้สูงขึ้นในยามตลาดเป็นบวก โดยเฉพาะกลุ่ม SETHD (หุ้นปันผลสูง) ที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สามารถสร้างผลตอบแทนรวมได้ดีกว่าดัชนี SET Index ทุกปี

อย่างไรก็ดี ดร.วิน มองว่า แม้ตลาดหุ้นไทยยังซื้อขายในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่ด้วยแรงหนุนต่างๆ ทำให้ยังมองว่าเป้าหมายดัชนีปลายปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,300-1,340 จุด


“ปันผล” คือ “ทางออก” ส่งกองทุน K-VALUE ลุยหุ้นไทย

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเติบโตช้า การมองหาทางรอดจึงพุ่งเป้าไปที่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่แข็งแกร่งและยั่งยืน กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE) จึงเป็นหนึ่งในคำตอบที่น่าสนใจ

ภารดี อธิบายว่า กองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวโดยเฉพาะ โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเงินปันผลเป็นหลัก โดย K-VALUE ไม่ได้มองหาแค่หุ้นที่จ่ายปันผลสูงเท่านั้น แต่เน้นการคัดเลือกหุ้นเชิงรุก (Active Management) ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง สามารถจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอและยั่งยืน (Sustainable Dividend) และที่สำคัญคือต้องมีมูลค่า (Valuation) ที่ไม่แพงจนเกินไป

จุดเด่นสำคัญของ K-VALUE คือ การตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับ 5-6% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด พร้อมคัดเลือกหุ้นคุณภาพ เน้นบริษัทที่มีพื้นฐานดี สามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง และทนทานต่อความผันผวน ด้วยการเลือกหุ้นขนาดใหญ่ที่มี Valuation ไม่แพง สามารถลดผลกระทบในช่วงตลาดขาลงได้ดี

ซึ่งจะเห็นได้จากข้อมูลล่าสุด ที่ตลาดหุ้นไทยติดลบถึง 5.23% แต่กองทุน K-VALUE กลับสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ประมาณ 7.11%

ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาทางเลือกในตลาดหุ้นไทยที่การเติบโตอาจไม่หวือหวาเหมือนในอดีต การปรับกลยุทธ์มาให้ความสำคัญกับ "เงินปันผล" และพิจารณาการลงทุนผ่านกองทุนที่มีปรัชญาชัดเจนอย่าง K-VALUE อาจเป็นคำตอบที่ช่วยให้พอร์ตของคุณยังคงเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ