(Emmanuel Macron)
นักลงทุนทั่วโลก ขานรับเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส เชื่อ 'เอ็มมานูเอล มาครง' จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชนให้อยู่ในอียูต่อไปได้
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 60 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่นายเอ็มมานูเอล มาครง คว้าชัยชนะครั้งนี้ จะช่วยคลายความกังวลให้กับนักลงทุนที่กำลังติดตามสถานการณ์ หากระยะต่อไปสหภาพยุโรป (อียู) มีความเข้มแข็งมากขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้นตามไปด้วย
ในส่วนของประเทศไทยนั้น ต้องเน้นการพึ่งพาในประเทศ เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจเอเชียเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่เติบโตดีมากที่สุด โดยไทยพัฒนาตัวเอง เน้นการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งรองรับการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ ข้อมูลการค้าจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และอันดับที่ 3 ของอียู รองจากเยอรมนี และสหราชอาณาจักร และคาดว่าปี 2560 เศรษฐกิจของฝรั่งเศสจะเติบโตร้อยละ 1.4
เมื่อปี 2559 ไทยส่งออกสินค้าไปฝรั่งเศสมูลค่า 1,553.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 3.02 และในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 (ม.ค.-มี.ค.) ไทยส่งออกสินค้าไปฝรั่งเศสมูลค่า 389.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 6.54 สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบเลนซ์ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบและอื่นๆ
ทางด้าน ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบ 2 ที่ผลออกมาตามคาด คือ นายเอ็มมานูเอล มาครง เป็นผู้ชนะ เท่ากับปัจจัยเสี่ยงของตลาดลดลงไปอีกหนึ่งตัว
โดยเรามองว่า สถานการณ์ในยุโรปจะเหลือแค่ Brexit และการเลือกตั้งของเยอรมนี ซึ่งยังไม่มีผลต่อตลาดตอนนี้ อีกทั้งผลการเลือกตั้งของฝรั่งเศสอาจเปลี่ยนทัศนคติของคนยุโรปที่เคยคิดอยากออกจากอียู ซึ่งตลาดยุโรปและค่าเงินยูโรจะดีจากผลการเลือกตั้งนี้
สำหรับความกังวลต่อการไหลออกของเงินทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ อาจสูงขึ้น นอกจากมาจากผลการเลือกตั้งของฝรั่งเศส ส่วนหนึ่งมาจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นมาก (อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 4.4% ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี) ดันให้ค่าความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed (Fed Fund Rate Implies Probabilities)
ดร.วิน กล่าวอีกว่า ทิศทางตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ (8-12 พ.ค.) ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะเป็นผลบวกต่อตลาดทั่วโลก ที่ความเสี่ยงจะลดลง เช่นเดียวกับสถานการณ์ของเกาหลีเหนือที่เริ่มดีขึ้นหลังสหรัฐฯ จะใช้เพียงมาตรการ Sanction
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ถูกนักลงทุนต่างประเทศขายและกลับเข้าไปซื้อในตลาดเอเชียแห่งอื่นนั้นเป็นปัจจัยถ่วงตลาดหุ้นไว้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่ยังมีต่อจากสัปดาห์ก่อน คือเรื่องของ Fund Flow ของนักลงทุนต่างประเทศ ที่อาจลดพอร์ตหรือปรับพอร์ต หลังมีโอกาสมากขึ้นที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนหน้า
นอกจากนี้ การเข้ามาเก็งกำไรในผลประกอบการในหุ้นรายตัว จะไม่คึกคักเหมือนไตรมาสก่อนๆ จะมีการลงทุนแบบเลือกลงทุนและซื้อขายสั้นๆ มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ดัชนีมีลักษณะเป็น sideway ตัวแปรที่ชี้ทิศทางที่สำคัญ คือ นักลงทุนต่างประเทศจะขายหุ้นต่อหรือไม่.