ก.ล.ต. ฟัน “ปั่นหุ้น - ใช้ข้อมูลภายใน” กลุ่มบุคคล 48 ราย ส่งท้ายปี 68 พบนามสกุลดัง บริษัทใหญ่เพียบ

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ก.ล.ต. ฟัน “ปั่นหุ้น - ใช้ข้อมูลภายใน” กลุ่มบุคคล 48 ราย ส่งท้ายปี 68 พบนามสกุลดัง บริษัทใหญ่เพียบ

Date Time: 29 ธ.ค. 2568 20:19 น.

Video

Sony ทำได้ยังไง ? หาเงินจากทุกสิ่ง แบบไม่ต้องวิ่งแข่งกับใคร | Digital Frontiers EP.51

Summary

ก.ล.ต. ประกาศดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดรวมถึง 48 ราย ในหลายหลักทรัพย์ ทั้งในกรณีการสร้างราคาหุ้นและการใช้ข้อมูลภายใน

ถือเป็นการกวาดบ้านครั้งใหญ่ส่งท้ายปีของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการตลาดทุนไทยไม่น้อย

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568 ก.ล.ต. ได้ประกาศดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดรวมถึง 48 ราย ในหลายหลักทรัพย์  ทั้งในกรณีการสร้างราคาหุ้นและการใช้ข้อมูลภายใน 

ซึ่งมีทั้งการกล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ดังนี้



COMAN ปฏิบัติการเคาะราคาลวงตาตลาด

เปิดประเด็นแรกกับหุ้น COMAN หรอ บริษัท โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษผู้กระทำผิด 9 ราย ต่อ บก.ปอศ. ในข้อหาสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขาย กลุ่มบุคคลนี้ประกอบด้วย

(1) นายนิธิศ ศิลมัฐ

(2) นางสาวภัทชนก ธนฤทัยโรจน์

(3) นายพัสกร ศิลมัฐ

(4) นางสาวชญาดา สุขกสิ

(5) นางสุภา วงค์อนุ

(6) นายวสวรรธน์ ประเสริฐศิลป์

(7) นายเกียรติศักดิ์ เจริญสุข

(8) นายปานพงศ์ คิดรักเมือง

(9) นายวินัย วังเป็ง 

พฤติการณ์ของกลุ่มนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2566 รวม 3 ช่วงเวลา โดยมีการร่วมมือกันส่งคำสั่งซื้อเพื่อผลักดันราคาให้สูงขึ้น และครองคำเสนอซื้อ (Bid) เพื่อขวางไม่ให้คนอื่นซื้อได้สะดวก บีบให้ต้องเคาะซื้อในราคาแพงขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการจับคู่ซื้อขายกันในราคาและปริมาณที่ใกล้เคียงกัน รวมถึงควบคุมราคาเปิดและปิด (Pre-open/Pre-close) เพื่อลวงให้คนเข้าใจผิดว่าราคาหุ้นดีดตัวขึ้น การกระทำนี้เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

ก.ล.ต. จึงส่งเรื่องให้ตำรวจ ปอศ. ดำเนินคดีอาญา และแจ้ง ปปง. เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินด้วย


OTO มหากาพย์ 18 ผู้กระทำผิด ดันราคาหุ้น

เคสที่ใหญ่ไม่แพ้กันคือหุ้น OTO หรือชื่อเดิมคือ บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันคือ PEER) ซึ่ง ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิดถึง 18 ราย ต่อ DSI รายชื่อผู้ถูกกล่าวโทษมีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ได้แก่

(1) นายสิทธิชัย พรทรัพย์อนันต์

(2) นายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์

(3) นางสาวรฐา วีระพงษ์

(4) นายภาคภูมิ เติมเสรีกุล

(5) นายบุญเอื้อ จิตรถนอม(6) นางสาวกิตติยา อุทกโยธะ 

(7) บริษัท เน็กซ์ ทู แคปปิตอล จำกัด (ปัจจุบัน คือ บริษัท เวลท์ พลัส โฮลดิ้ง จำกัด) (8) นายภิญโญ รุขพันธ์เมธี 

(9) นายอมรเทพ วัชรพฤกษาดี 

(10) นายอาดาม อินสว่าง 

(11) นายปฏิพล ประวังสุข 

(12) นายชยานนท์ เชาวกิจเจริญ 

(13) นายสถาพร โพธิ์ทอง 

(14) นายสุวิทย์ ชีวะธรรม 

(15) นายบุญเลิศ เอี้ยวพรชัย 

(16) นางสาวณัฐกมล น้ำแก่ง 

(17) นายพงศ์ภัทร ชีวะธรรม

(18) นายชัยวัฒน์ พิทักษ์รักธรรม

กลุ่มนี้ปฏิบัติการยาวนานถึง 438 วันทำการ (13 ก.ค. 64 - 3 พ.ค. 66) โดยมีพฤติกรรมผลักดันราคาหุ้น เช่น เคาะซื้อหุ้นทีละน้อยเพื่อกระตุ้นตลาด และวาง Bid ขัดขวางการซื้อของผู้ลงทุนอื่นๆ เจตนาเพื่อให้ผู้ลงทุนอื่นๆ ต้องเคาะส่งราคาคำสั่งซื้อที่สูงขึ้น 

ที่น่าสนใจคือมีการส่งคำสั่งจับคู่ซื้อขายระหว่างกันเอง และทำราคาปิด (Pre-close) ให้สูงขึ้นตามที่ต้องการ ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อราคา และปริมาณการซื้อขายที่ผิดไปจากสภาพตลาดจริง ดังนั้น ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษต่อ DSI เพื่อดำเนินคดีอาญา และส่งเรื่องต่อ ปปง. เช่นกัน 


เจอรายชื่อผู้กระทำผิดเคส SA ซ้ำกับ OTO! กรณีปั่นหุ้น

ถัดมาคือหุ้น SA หรือ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษบุคคล 8 ราย ต่อ DSI กรณีร่วมกันสร้างราคา (หรือที่หลายคนเรียกว่าปั่นหุ้น)

ซึ่งรายชื่อผู้กระทำผิดในกลุ่มนี้มีทับซ้อนกับกลุ่ม OTO อย่างชัดเจน อาทิ นายบุญเอื้อ จิตรถนอม, นางสาวกิตติยา อุทกโยธะ, นายภิญโญ รุขพันธ์เมธี, นายภาคภูมิ เติมเสรีกุล และ นายสิทธิชัย พรทรัพย์อนันต์ 

พฤติการณ์เกิดขึ้นในช่วงปี 2564-2565 เป็นเวลา 167 วันทำการ โดยใช้วิธีการผลักดันราคา วาง Bid ขวางหลายระดับราคา และควบคุมราคาเปิด-ปิด (Pre-open/Pre-close) เพื่อให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น 

การกระทำเหล่านี้ทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจผิด และทำให้การซื้อขายหุ้นของ SA ไม่ตรงกับสภาพปกติของตลาด จากรูปแบบการกระทำที่เป็นขบวนการ และส่งผลกระทบวงกว้าง ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษต่อ DSI และรายงานต่อ ปปง. เนื่องจากเข้าข่ายความผิดมูลฐานการฟอกเงิน 


SF รู้วงใน ดีลใหญ่ CPN

ตามมาด้วยกรณีการใช้ข้อมูลภายใน (Insider Trading) กับหุ้น SF หรือ บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่งผู้กระทำผิด 7 ราย กรณีนี้เกี่ยวข้องกับบิ๊กดีลที่ CPN เข้าซื้อกิจการ SF จาก MAJOR และทำ Tender Offer ที่ราคา 12 บาท อันเป็นข้อมูลที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาหุ้น SFเคสนี้แบ่งเป็นหลายส่วน ตัวละครหลักคือ นายนพพร วิฑูรชาติ (ประธานกรรมการบริหาร กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SF) ที่รู้ข้อมูลดีลนี้ และนำไปบอกมารดา (นางสุพรรณ วิฑูรชาติ) เพื่อให้ซื้อหุ้นดักหน้าไว้ก่อน

นอกจากนี้ ยังมีเครือญาติของกรรมการ MAJOR (ผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมของ SF) คือ นางนภัสสร สุนทรมโนกุล และนางเพ็ญทิพา องค์วาสิฏฐ์ (ทั้งสองเป็นพี่สาวของกรรมการของ MAJOR รายหนึ่ง) ได้ร่วมกับนางสาวปภาวรินท์ ฉัตรกุล 
ณ อยุธยา ซื้อหุ้น SF ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปภาวรินท์ (ลูกสาวของนางเพ็ญทิพา, มีฐานะเป็นหลานสาวของนางนภัสสร)ทั้งนี้ นางนภัสสรยังมีการใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกสาว หรือนางสาวศิรดา สุนทรมโนกุล เพื่อซื้อหุ้น SF ซึ่ง ก.ล.ต. พบว่าเป็นการซื้อจำนวนมากผิดปกติวิสัย 

ส่วนสามีของนางนภัสสร คือ นายเกียรติ สุนทรมโนกุล ยังพบการซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในเช่นกัน 

โดยทั้ง 7 ผู้ถูกกล่าวโทษนี้ ทาง ก.ล.ต. สั่งปรับทางแพ่งรวมกว่า 8.6 ล้านบาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร 12 -14 เดือน เช่น นายนพพรโดนแบน 14 เดือน, นางนภัสสร โดนแบน 14 เดือน เป็นต้น


TFG ปรับโหดทะลุ 1.1 พันล้านบาท

เคสที่หนักที่สุดในแง่ของเม็ดเงินค่าปรับ คือกรณีหุ้น TFG หรือบริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่งผู้กระทำผิด 6 ราย กรณีใช้ข้อมูลภายในงบการเงินไตรมาส 1 และ 2 ปี 2559 ที่กำไรพุ่งสูง 

บุคคลหลักคือ นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ (ประธานกรรมการบริหาร กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) ร่วมกับนายนัฐวุฒิ เตียวสมบูรณ์กิจ และอีก 4 บุคคล ใช้ข้อมูลกำไรสุทธิที่ยังไม่เปิดเผย เข้าซื้อหุ้น TFG และ TFG-W1 ผ่านบัญชีคนอื่น

บทลงโทษครั้งนี้รุนแรงมาก โดยคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) สั่งให้นายวินัย ชำระค่าปรับและชดใช้ผลประโยชน์รวมกว่า 1,122 ล้านบาท และถูกสั่งห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารนานถึง 40 เดือน ส่วนผู้สนับสนุนรายอื่นๆ ก็โดนปรับลดหลั่นกันไป รวมมูลค่าค่าปรับทั้งสิ้นกว่า 1,125 ล้านบาท


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ