
ตลาดหุ้นไทยทำสถิติดิ่ง 3 ปีซ้อน วูบมากกว่า 400 จุด บล.เอเซีย พลัส กางตำราสถิติย้อนหลัง ระบุแพทเทิร์นฟ้องว่าเมื่อหุ้นไทยลบหนักติดต่อกันระดับนี้ ปีถัดไปมีลุ้นเด้งกลับแรงเฉลี่ยสูงถึง 47%
ตลาดหุ้นไทยทำสถิติดิ่ง 3 ปีซ้อน (2566-2568) ดัชนีวูบมากกว่า 400 จุด ท่ามกลางคำถามว่านี่คือ "วิกฤติ" หรือ "โอกาส" ล่าสุด บล.เอเซีย พลัส กางตำราสถิติย้อนหลังชี้ชัด "ยิ่งเจ็บยิ่งจบสวย" ระบุแพทเทิร์นฟ้องว่าเมื่อหุ้นไทยลบหนักติดต่อกันระดับนี้ ปีถัดไปมีลุ้นเด้งกลับแรงเฉลี่ยสูงถึง 47% พลิกสถานการณ์ให้นักลงทุนได้ลุ้นทำกำไรครั้งใหญ่
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็น "หนังชีวิต" สำหรับนักลงทุนหลายคน เมื่อดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง สร้างความกังวลและบั่นทอนความเชื่อมั่นอย่างหนัก
หากกางข้อมูลย้อนหลังดูผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET Index จะเห็นภาพการปรับฐานลงอย่างชัดเจนติดต่อกันถึง 3 ปี ดังนี้
ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา หุ้นไทยร่วงจากระดับ 1,667.44 จุด ณ สิ้นปี 2565 กว่า 408.19 จุด หรือ 24.48% แล้ว
อย่างไรก็ตาม วันนี้ 29 ธันวาคม 2568 ตลาดหุ้นไทยยังเปิดทำการก่อนนับถอยหลังเข้าสู่ช่วงหยุดยาวปีใหม่ ดัชนียังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยในช่วงเช้าวันนี้ ณ เวลา 10.08 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,256.56 ลดลง -2.69 จุด หรือ -0.21%
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจผ่านบทวิเคราะห์ Market Insight ฉบับวันที่ 29 ธันวาคม 2025 โดยระบุว่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีของ SET Index (2566-2568) ติดลบรวมกันกว่า -24% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในอดีตบ่งชี้แพทเทิร์นสำคัญว่า "เมื่อผลตอบแทน 3 ปีติดลบในระดับ 20-30% มักจะตามมาด้วยผลตอบแทน 1 ปีข้างหน้าที่เป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญ ประมาณ +47%"
ซึ่งเป็นสถิติที่ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า นี่คือจังหวะที่ความเสี่ยงต่ำลงและผลตอบแทนคาดหวังสูงขึ้น Valuation ถูกเป็นประวัติการณ์
นอกเหนือจากสถิติการดีดตัวกลับแล้ว ปัจจัยพื้นฐานด้านมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยในปี 2025 ถือว่า "ถูกมาก" เมื่อเทียบกับอดีต โดยค่าเฉลี่ย Price per Book Value (PBV) ของตลาดลดลงจาก 2.7 เท่าในปี 2558 เหลือเพียง 1.1 เท่าในปี 2568
และหากเจาะลึกลงไปจะพบว่า มีบริษัทจดทะเบียนที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (PBV < 1 เท่า) มากถึง 461 บริษัท จากทั้งหมด 703 บริษัท และมีบริษัทที่จ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) สูงกว่า 5% จำนวนถึง 273 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 39% ของทั้งตลาด
ดังนั้น บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปีใหม่และต่อเนื่องปีหน้า ให้ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ปันผลเด่น ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยมีหุ้นแนะนำที่น่าสนใจ เช่น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกระยะสั้นจากกรณี "ไทย-กัมพูชา" บรรลุข้อตกลงหยุดยิงบริเวณชายแดน ซึ่งช่วยปลดล็อกความกังวล เป็น Sentiment เชิงบวกให้กับหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้หรือธุรกิจในกัมพูชา เช่น CBG, OR, MAJOR และ SCCC ให้กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้