
เวียดนามโตแรง เอสซีจีปักธงเป็น "บ้านหลังที่สอง" ทุ่มเงินปั้นฐานผลิต-ส่งออกทั่วโลก ชู SCGD ดาวเด่นเบอร์ 1 ตลาดกระเบื้อง เตรียมรุกภาคใต้
ชั่วโมงนี้หากจะพูดถึงเศรษฐกิจที่ร้อนแรงและน่าจับตาที่สุดในอาเซียน คงหนีไม่พ้น "เวียดนาม" ที่กำลังฉายแววโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะอายุเฉลี่ยที่อยู่ในระดับต่ำ
พลังของคนรุ่นใหม่นี้ไม่เพียงแต่เป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง แต่ยังมาพร้อมกับกำลังซื้อของกลุ่มชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เวียดนามกลายเป็น "ขุมทรัพย์" ใหม่ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างต้องการเข้าไปปักหมุดสร้างความมั่นคงในระยะยาว
ซึ่งยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง “เอสซีจี” เป็นหนึ่งในกลุ่มทุนรายแรกๆ ที่มองเห็นศักยภาพนี้และเข้าไปบุกเบิกตลาดเวียดนามมานานกว่า 30 ปี จนในวันนี้เอสซีจีไม่ได้มองเวียดนามเป็นเพียงตลาดส่งออกอีกต่อไป
แต่ได้ยกฐานะให้เป็น "บ้านหลังที่สอง" ซึ่งครอบคลุมธุรกิจกว่า 28 บริษัท โดยใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตเชิงยุทธภาพที่มีความได้เปรียบทั้งด้านต้นทุนและโลจิสติกส์ เพื่อเติบโตไปกับตลาดในประเทศ และเป็นสปริงบอร์ดในการส่งออกสินค้าคุณภาพไปยังตลาดโลก
อย่างที่รู้กันว่าเศรษฐกิจเวียดนามมีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น โดยขึ้นแท่นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในกลุ่มอาเซียน ซึ่งในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้สามารถขยายตัวได้สูงถึง 8%
ข้อมูลจากหอการค้าและอุตสาหกรรมไทยในเวียดนาม ระบุว่า ใน 9 เดือนแรกของปีนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง โดยหลักมาจากการอุปโภคบริโภคในประเทศกว่า 60% การลงทุนตรงจากต่างชาติ 25% การลงทุนภาครัฐ 10% และการส่งออก-นำเข้า 5%
นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรนับเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เวียดนามเป็นตลาดที่น่าดึงดูดที่สุดในภูมิภาค ด้วยจำนวนประชากรกว่า 106 ล้านคน โดยมีสัดส่วนเป็นวัยแรงงานสูงถึง 68% และมีอายุเฉลี่ยเพียง 32 ปี ซึ่งน้อยกว่าประเทศไทยที่มีอายุเฉลี่ยสูงถึง 43 ปี
ประชากรวัยหนุ่มสาวนี้ไม่เพียงแต่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญ แต่ยังเป็นกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความกระตือรือร้นในการจับจ่ายใช้สอยและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วด้วย
อย่างไรก็ดี การขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง (Upper-Middle Income) เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่น่าจับตามอง โดยคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นปีละ 5.5% และแตะระดับ 56 ล้านคน ภายในปี 2573 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรายได้ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปสู่สินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น
ด้านรายได้ต่อหัวของประชากร (GDP per Capita) เวียดนามตั้งเป้าหมายเพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2588 โดยในปีที่ผ่านมารายได้ต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 หรือเติบโตขึ้นกว่า 60% ในช่วงเวลาเพียง 6 ปี สะท้อนถึงการเติบโตของกำลังซื้อในประเทศที่มากขึ้น และเป็นโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจภาคบริการและการค้าปลีก
ด้วยการเติบโตในอัตราเร่งดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแนวโน้มในอนาคตปัจจัยหนุนเศรษฐกิจเหล่านี้ จะทำให้เวียดนามกำลังจะมีขนาดเทียบเท่ากับไทยได้ในอนาคต…
กุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ผู้อำนวยการ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SCC ประจำประเทศเวียดนาม เปิดเผยถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของเวียดนามว่า ปัจจุบัน SCG ไม่ได้มองเวียดนามเป็นเพียงแค่ตลาด แต่ถือเป็น "บ้านหลังที่ 2" ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทแรก ๆ ที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว
ปัจจุบัน เอสซีจีมีบริษัทในเวียดนามราว 28 แห่ง และมีจุดดำเนินงานประมาณ 50 แห่ง ครอบคลุมทั้งภาคเหนือ กลาง และใต้ ซึ่งที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ SCG เวียดนามนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก
อย่างไรก็ดี แนวคิดของเอสซีจีในเวียดนามนั้น คือการเข้ามาเป็นโมเดลในการช่วยพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับตลาดเพื่อรองรับความต้องการทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตที่ได้เปรียบด้านต้นทุน โดยเฉพาะค่าแรงและค่าไฟฟ้า ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งนี้ ในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลก ผ่านการบริหารจัดการแบบผสมผสานระหว่างประเทศไทยเพื่อให้การผลิตอยู่ ณ จุดที่ต้นทุนถูกที่สุด
“เวียดนามเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญของเอสซีจี ด้วยการลงทุนรวมกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 28 บริษัท คิดเป็น 28% ของสินทรัพย์รวมของเอสซีจี”
นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SCGD เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์สำคัญโดยวางเป้าหมายให้ประเทศเวียดนามเป็นเสาหลักตัวที่สองรองจากประเทศไทย โดยมีธุรกิจ "Prime" เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ปัจจุบันบริษัทมีโครงสร้างรายได้จากเวียดนามสูงถึง 21%
ซึ่ง SCGD ได้เข้าซื้อกิจการมาตั้งแต่ปี 2012 จนมีความเข้าใจในตลาดอย่างลึกซึ้งตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปี ปัจจุบัน Prime มีความแข็งแกร่งด้วยเครือข่ายบริษัทลูก 14 บริษัท และพนักงานกว่า 3,000 คน โดยมีฐานการผลิตวัสดุตกแต่งพื้นผิวขนาดใหญ่ถึง 80 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับฐานการผลิตในประเทศไทย และครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในเวียดนาม
ในด้านโครงสร้างการดำเนินงาน Prime มีความพร้อมตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทำให้มีขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากล โดยมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมผ่านผู้แทนจำหน่าย 138 ราย และร้านค้าปลีกมากกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ
ส่งผลให้ SCGD ตัดสินใจวางงบลงทุนในเวียดนามเป็นอันดับ 1 นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2566 โดยใช้เงินลงทุนไปแล้วเกือบ 2,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ยอดขายจะเผชิญความท้าทายในช่วงที่ผ่านมา แต่กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ยังคงเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี
ทิศทางการรุกตลาดหลังจากนี้ SCGD มุ่งเน้นการขยายฐานธุรกิจ วัสดุตกแต่งพื้นผิว ไปสู่พื้นที่ภาคใต้ของเวียดนามเป็นหลัก หลังจากก่อนหน้านี้โฟกัสที่ภาคเหนือ ผ่านกลยุทธ์การควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งปัจจุบันวางงบไว้ราว 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต
พร้อมกับการผลักดันเวียดนามให้เป็นศูนย์กลางการส่งออก (Export Hub) ไปยังกว่า 24 ประเทศทั่วโลก รวมถึงในภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย เนื่องจากเวียดนามมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่สามารถแข่งขันกับสินค้าจากประเทศจีนได้อย่างแน่นอน
นอกจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวแล้ว SCGD ยังเตรียมขยายกลุ่ม ธุรกิจสุขภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ COTTO เข้าสู่ตลาดเวียดนามอย่างเต็มตัว โดยตั้งเป้าที่จะสร้างฐานการผลิตสุขภัณฑ์ในเวียดนามและเร่งหาผู้แทนจำหน่ายเพิ่มเติมทั่วประเทศ
ทั้งนี้ SCGD มีเป้าหมายที่ท้าทายในการเพิ่มรายได้ให้เติบโตเป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 โดยมีเวียดนามเป็นแกนหลักสำคัญในการผลักดันไปสู่ Roadmap ที่วางไว้ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมด้านเงินทุนในการขยายธุรกิจต่อไป
สำหรับธุรกิจเอสซีจีซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างนั้น ดำเนินธุรกิจในเวียดนามมากว่า 20 ปี มีกิจการครอบคลุม 11 บริษัท ทั้งธุรกิจซีเมนต์ หลังคา และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอื่นๆ โดยมีฐานการผลิตทั้งในภาคกลางและใต้ รองรับการเติบโตในประเทศและเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก
วิเชษฐ์ ชูเชื้อ Country Director - Vietnam ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า เวียดนามเป็นฐานการผลิตที่ได้เปรียบอย่างมากในการผลักดันผลิตภัณฑ์เหล่านี้สู่ตลาดโลก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำและแข่งขันได้
การที่เวียดนามอยู่ติดทะเลยังส่งผลให้มีความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์สำหรับการส่งออก การมีฐานการผลิตทั้งในไทยและเวียดนามยังเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ลูกค้าในตลาดส่งออกมั่นใจในความนิ่งของปริมาณและคุณภาพ ซึ่งช่วยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก
ปัจจุบันธุรกิจผลิตภัณท์ก่อสร้างมียอดขายอยู่ที่ราว 9,000 ล้านบาท และคาดว่าภายใน 5 ปี จะมียอดขายโต 1.4 เท่าผ่านการขยายฐานกำลังการผลิตและการขยาย Distrbution Network
โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อ capture ตลาดที่กำลังเติบโต และให้เวียดนามเป็นบ้านหลังที่สองของ SCG ในอนาคต ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ กำลังอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาคอุตสาหกรรมและก่อสร้างเติบโตจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ส่งผลให้ความต้องการวัสดุก่อสร้าง และปูนซีเมนต์ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะปูนคาร์บอนต่ำที่ขยายตัวตามนโยบายของรัฐบาล
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้