
ส่อง 11 บริษัทแรกในโครงการ JUMP+ ที่มีสถานะ Active แล้ว พบหลายหุ้นราคาผันผวนสูง หรือเคยมีประเด็นราคาตกหนักในช่วง 1-3 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญให้บริษัทเหล่านี้ได้พิสูจน์ตัวเอง ด้วยการเปิดเผยแผนธุรกิจที่ชัดเจน เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และเรียกคืนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในระยะยาวหรือไม่ ?
โครงการ JUMP+ โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำลังเป็นที่จับตาอย่างมาก ซึ่งนับได้ว่าเป็นมาตรการ “เรือธง” ในการฟื้นความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย ด้วยเป้าหมายในการส่งเสริมการเติบโต ยกระดับธรรมาภิบาล และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทจดทะเบียนอย่างยั่งยืน
จากข้อมูลล่าสุด (16 ธ.ค. 68) มีบริษัทจดทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 99 บริษัท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวของภาคธุรกิจในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลง
ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือ รายชื่อบริษัทที่เข้าสู่สถานะ Active ในโครงการแล้ว 11 บริษัทแรก ปรากฏชื่อบางหลักทรัพย์ที่นักลงทุนรับรู้ได้ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาผันผวนสูง หรือเคยมีประเด็นราคาตกหนัก
นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญให้บริษัทเหล่านี้ได้พิสูจน์ตัวเอง ด้วยการเปิดเผยแผนธุรกิจที่ชัดเจน เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และเรียกคืนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในระยะยาวหรือไม่ ?
หากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังของ 11 บริษัทแรกที่เข้าสู่สถานะ "Active" พบว่าส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่เผชิญกับแรงขายอย่างหนักในช่วง 1-3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความท้าทายที่บริษัทเหล่านี้กำลังเผชิญ
ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การเข้าร่วมโครงการ JUMP+ ของหลายบริษัทไม่ได้เป็นเพียงการหาโอกาสเติบโต แต่อาจสะท้อนว่าเป็นการเดินหน้าครั้งสำคัญเพื่อฟื้นฟูพื้นฐานธุรกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังราคาหุ้นได้ปรับตัวลงอย่างหนัก
1.บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BRI
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -61.56%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี -86.09%
2.บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น FPI
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -14.43%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี -50.60%
3.บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น IVF
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -54.30%
4.บริษัท คัมเวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) KUMWEL
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -25.00%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี -52.34%
5.บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ORI
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -49.74%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี -81.78%
6.บริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SAF
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -27.45%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี -80.83%
7.บริษัท เอส.ซี.แอล.มอเตอร์ พาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SCL
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี +3.17%
ผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียน (1 พ.ย. 66) -5.11%
8.บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน)หรือหุ้น SKIN
ผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียน (24 ก.ย. 68) +23.33%
9.บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น STC
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -49.09%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี -63.16%
10.บริษัท ที.เอ็ม.ซี. อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TMC
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -37.50%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี -73.88%
11.บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ZIGA
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -49.71%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี -74.27%
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก setsmart ณ ราคาปิดวันที่ 15 ธ.ค. 68
สำหรับโครงการ JUMP+ มีเงื่อนไขการเข้าร่วม บริษัทต้องไม่ถูกขึ้นเครื่องหมายที่แสดงถึงปัญหาทางการเงิน (CB, CS, CC, CF, NP, SP) และไม่ถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ในกรณีสมัคร) ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญของ ตลท. ในการยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดทุนโดยรวม
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูพัฒนาการอย่างใกล้ชิด ว่าจะสามารถแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินงาน การเติบโตของกำไร และการยกระดับธรรมาภิบาลตามแผน JUMP+ ได้อย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่
ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการนี้ ในการสและอาจเป็นสัญญาณสำคัญสำหรับนักลงทุนในการพิจารณาหา "หุ้นกลับตัว" ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองว่า โครงการ Jump+ ซึ่งมี 11 บริษัทแรกเริ่ม Active แล้ว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในตลาด mai ที่เคยมีราคาลดลงอย่างหนักนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการช่วยให้บริษัทเหล่านี้ ยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการและการเปิดเผยข้อมูล
กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นกับ Thairath Money ว่า โครงการ Jump+ เป็นโครงการที่ดีที่สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนยกระดับการเปิดเผยข้อมูลและแผนธุรกิจเพื่อการเติบโตในระยะยาว แม้ว่าประสิทธิภาพของหุ้นโดยรวมอาจยังไม่ดีนักในระยะสั้น เนื่องจากการปรับแก้เชิงพื้นฐานและการขับเคลื่อนโครงสร้างธุรกิจต้องใช้ระยะเวลา
จึงแนะนำให้นักลงทุนมองภาพระยะกลางถึงยาว และศึกษาความเห็นของนักวิเคราะห์เพื่อประเมินโอกาสเติบโตของธุรกิจและประเมิน upside และ downside โดยเชื่อว่าหุ้นใน Action Plan ของ Jump+ น่าจะค่อยๆ ดีขึ้นในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ควรทยอยอ่านแผนธุรกิจ ไม่ใช่จังหวะเร่งรีบในการลงทุน และนักลงทุนควรติดตามเมื่อตลาดหุ้นไทยมีฐานที่มั่นคงเหนือ 1,300 จุด เพราะจะทำให้หุ้นขนาดกลางและเล็กกลับมาเป็นที่สนใจมากขึ้น
ด้าน อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มองว่า โครงการนี้จะช่วยเฉพาะหุ้นรายตัวที่เข้าร่วม โดยเป็นการวางแผนให้มีระบบที่เป็นมาตรฐาน เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและเชื่อว่าบริษัทเหล่านี้ควรจะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวต้องดูที่พื้นฐานจากแนวโน้มอุตสาหกรรมเป็นหลักว่าเอื้อต่อการทำธุรกิจหรือไม่ และหากอุตสาหกรรมกำลังเติบโต ประกอบกับ Valuation ที่ต่ำเกินจริง ก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับที่เหมาะสมได้
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้