
ทันทีที่มีพระราชกฤษฎีกา "ยุบสภา" ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เส้นทางเดินของประเทศไทยก็เข้าสู่โหมด "เลือกตั้งใหม่" โดยคาดการณ์ว่า วันหย่อนบัตรอาจเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทางการเมืองนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงเวทีรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดหุ้นไทย ที่ต้องเผชิญกับคลื่นความไม่แน่นอนครั้งใหม่การตัดสินใจยุบสภาครั้งนี้
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์แต่ละสำนักต่างมีมุมมองและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการรับมือกับสถานการณ์ "สุญญากาศทางการเมือง" ก่อนได้รัฐบาลชุดใหม่นี้ บางโบรกเกอร์ชี้ชัดถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะงักงันและเตือนถึงสัญญาณการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ ขณะเดียวกัน นี่อาจเป็นโอกาสทองในการเข้าซื้อหุ้นเพื่อรอรับปรากฏการณ์ "Election Rally" ที่มักจะเกิดขึ้นตามมา
ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดวันสุดท้ายที่สามารถจัดการเลือกตั้งได้คือไม่เกินวันอังคารที่ 10 ก.พ. 2569 ตามธรรมเนียม การเลือกตั้งทั่วไปมักจัดขึ้นในวันอาทิตย์ ทำให้คาดว่าการเลือกตั้งใหม่อาจจะเป็นวันที่ 1 ก.พ. 2569 หรือ 8 ก.พ. 2569
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยคือความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในหลายประเด็น เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2, โครงการ TISA, นโยบายรถไฟฟ้า 40 บาท ตลอดทั้งวัน, รวมถึงเมกะโปรเจกต์ใหม่ ๆ และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดจนการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ
ทำให้ไตรมาส 4 ปี 2568 มีความเสี่ยงมากขึ้นจากภาวะ "นโยบายชะงักงัน" ก่อนการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งอาจกดดันความเชื่อมั่น และหาก GDP ไทยเติบโตต่ำกว่า 0.6% ก็มีโอกาสที่จะเห็นภาพ Technical Recession หรือ GDP ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส
สำหรับสถิติการยุบสภาในอดีต พบว่าค่าเงินบาท ในช่วง 1 เดือนก่อน และ 1 เดือนหลังการยุบสภา โดยค่าเงินบาทมี ความผันผวนทั้งก่อนและหลังการยุบสภา มีแนวโน้มอ่อนค่าเล็กน้อย โดยเฉลี่ยทั้งก่อนและหลังการยุบสภา ราว 0.8% และ 0.6% ตามลำดับ อีกทั้งในช่วง 1 เดือนนี้ ค่าเงินบาท แข็งค่ามากกว่า 2.0% ยิ่งเป็นแรงส่งให้สามารถดีด ตัว หรืออ่อนค่าลงได้บ้าง
ส่วนสถิติหลังการยุบสภา 1 เดือน ต่อกระแสเงินลงทุนต่างชาติ พบเงินทุนไหลออก (Net Sell) เกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังการยุบสภา ไหลออก เกิดขึ้น 5 ครั้ง จาก 6 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยไหลออกสุทธิ -10,859 ล้านบาท
ส่วนภาพการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในอดีตตั้งแต่ พ.ศ. 2539 ถึง 2566 ผลตอบแทนของดัชนีหลังยุบสภา 1 เดือน มีค่าเป็นลบแทบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งเดียวในปี 2556 ผลตอบแทนหลังยุบสภา 1 เดือน เฉลี่ยติดลบ -6.7%
ด้าน บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า แม้การประกาศยุบสภาจะเร็วกว่าที่ตลาดคาด แต่กลยุทธ์ที่แนะนำคือ "อยู่ฝั่งซื้อ" เพราะภาพหลักจะนำไปสู่การเลือกตั้งที่จะได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพดีขึ้น
ซึ่งอิงตามรอบการเลือกตั้งในอดีตที่มักจะมี Election Rally (ปี 2005, 2007 และ 2011) ในกรอบ 3-5% ภายในระยะเวลา 5-8 เดือน ซึ่งธีมการลงทุนเด่น แนะนำ
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า นายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภา ภายหลังจากยุบสภานั้นจำเป็นจะต้องจัดการเลือกตั้งภายในช่วง 45-60 วัน ซึ่งคาดการณ์กันว่าช่วงเลือกตั้งจะอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 2569 จากนี้จนถึงกว่าจะได้รัฐบาลใหม่รัฐบาลชุดเดิม แต่อย่างไรก็ตามการออกโครงการต่างๆ ที่เป็นโครงการต่อเนื่องถึงรัฐบาลชุดใหม่จะทำไม่ได้
ดังนั้น เป็นไปได้มาตรการ TISA ที่เคยพิจารณาก็อาจถูกยกเลิกออกไปจนกว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่จะเข้ามาดูแล ระยะสั้นนักลงทุนอาจมองความไม่แน่นอนของการเมืองเป็นหลัก พร้อมกับอาจเลือกขายทำกำไรหุ้นออกมาแต่ก็เชื่อว่าภาวะนี้จะอยู่ไม่นานและนักลงทุนจะกลับมาพิจารณาว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเตรียมออกมาตรการกระตุ้น
สถิติที่ผ่านมาตลาดหุ้นมักจะปรับขึ้นก่อนการเลือกตั้งโดยกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเด่นในช่วงเลือกตั้งทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งได้แก่ ค้าปลีก สื่อสาร หากระยะสั้นตลาดเกิดอาการ Panic มองเป็นโอกาสเข้าสะสมในหุ้นกลุ่มข้างต้น นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจด้วยเงินปันผลสูงผสานกับราคาหุ้นไม่แพง
อย่างไรก็ดี ระยะสั้นมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยการเมือง อาจกดดันตลาดหุ้นแต่เชื่อว่า Downside ไม่เยอะมากเพราะในท้ายที่สุดก็จะมีความคาดหวังเกี่ยวกับรัฐบาลชุดใหม่ผสานกับนโยบายกระตุ้นต่างๆ
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนหากปรับฐานมองเป็นโอกาสเข้าสะสมเน้นที่หุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, HMPRO) ศูนย์การค้า CPN ธนาคารพาณิชย์ (BBL SCB) การเงิน (MTC TIDLOR) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) เป็นต้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้