“ยุบสภา” กระทบต่อ เศรษฐกิจ-ตลาดหุ้นไทยยังไง

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“ยุบสภา” กระทบต่อ เศรษฐกิจ-ตลาดหุ้นไทยยังไง

Date Time: 12 ธ.ค. 2568 11:57 น.

Video

บุกโรงงานญี่ปุ่น ทัวร์ Glico ยักษ์ใหญ่อาหาร 3 แสนล้านเยน | BrandStory EP.27

Summary

จับตายุบสภา โบรกเกอร์เตือนเศรษฐกิจเสี่ยงนโยบายชะงัก GDP อาจเข้า Technical Recession สถิติชี้ SET มักติดลบ ขณะที่บางมุมมองชี้โอกาส "ซื้อ" รอ Election Rally

Latest


ทันทีที่มีพระราชกฤษฎีกา "ยุบสภา" ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เส้นทางเดินของประเทศไทยก็เข้าสู่โหมด "เลือกตั้งใหม่" โดยคาดการณ์ว่า วันหย่อนบัตรอาจเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทางการเมืองนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงเวทีรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดหุ้นไทย ที่ต้องเผชิญกับคลื่นความไม่แน่นอนครั้งใหม่การตัดสินใจยุบสภาครั้งนี้

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์แต่ละสำนักต่างมีมุมมองและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการรับมือกับสถานการณ์ "สุญญากาศทางการเมือง" ก่อนได้รัฐบาลชุดใหม่นี้ บางโบรกเกอร์ชี้ชัดถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะงักงันและเตือนถึงสัญญาณการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ ขณะเดียวกัน นี่อาจเป็นโอกาสทองในการเข้าซื้อหุ้นเพื่อรอรับปรากฏการณ์ "Election Rally" ที่มักจะเกิดขึ้นตามมา 


“ยุบสภา” กดดันเศรษฐกิจ-ตลาดหุ้นไทย

ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดวันสุดท้ายที่สามารถจัดการเลือกตั้งได้คือไม่เกินวันอังคารที่ 10 ก.พ. 2569 ตามธรรมเนียม การเลือกตั้งทั่วไปมักจัดขึ้นในวันอาทิตย์ ทำให้คาดว่าการเลือกตั้งใหม่อาจจะเป็นวันที่ 1 ก.พ. 2569 หรือ 8 ก.พ. 2569

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยคือความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในหลายประเด็น เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2, โครงการ TISA, นโยบายรถไฟฟ้า 40 บาท ตลอดทั้งวัน, รวมถึงเมกะโปรเจกต์ใหม่ ๆ และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดจนการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ

ทำให้ไตรมาส 4 ปี 2568 มีความเสี่ยงมากขึ้นจากภาวะ "นโยบายชะงักงัน" ก่อนการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งอาจกดดันความเชื่อมั่น และหาก GDP ไทยเติบโตต่ำกว่า 0.6% ก็มีโอกาสที่จะเห็นภาพ Technical Recession หรือ GDP ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส

สำหรับสถิติการยุบสภาในอดีต พบว่าค่าเงินบาท ในช่วง 1 เดือนก่อน และ 1 เดือนหลังการยุบสภา โดยค่าเงินบาทมี ความผันผวนทั้งก่อนและหลังการยุบสภา มีแนวโน้มอ่อนค่าเล็กน้อย โดยเฉลี่ยทั้งก่อนและหลังการยุบสภา ราว 0.8% และ 0.6% ตามลำดับ อีกทั้งในช่วง 1 เดือนนี้ ค่าเงินบาท แข็งค่ามากกว่า 2.0% ยิ่งเป็นแรงส่งให้สามารถดีด ตัว หรืออ่อนค่าลงได้บ้าง

ส่วนสถิติหลังการยุบสภา 1 เดือน ต่อกระแสเงินลงทุนต่างชาติ พบเงินทุนไหลออก (Net Sell) เกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังการยุบสภา ไหลออก เกิดขึ้น 5 ครั้ง จาก 6 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยไหลออกสุทธิ -10,859 ล้านบาท

ส่วนภาพการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในอดีตตั้งแต่ พ.ศ. 2539 ถึง 2566 ผลตอบแทนของดัชนีหลังยุบสภา 1 เดือน มีค่าเป็นลบแทบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งเดียวในปี 2556 ผลตอบแทนหลังยุบสภา 1 เดือน เฉลี่ยติดลบ -6.7%


อาจเป็นโอกาสซื้อรอ “Election Rally”

ด้าน บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า แม้การประกาศยุบสภาจะเร็วกว่าที่ตลาดคาด แต่กลยุทธ์ที่แนะนำคือ "อยู่ฝั่งซื้อ" เพราะภาพหลักจะนำไปสู่การเลือกตั้งที่จะได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพดีขึ้น

ซึ่งอิงตามรอบการเลือกตั้งในอดีตที่มักจะมี Election Rally (ปี 2005, 2007 และ 2011) ในกรอบ 3-5% ภายในระยะเวลา 5-8 เดือน ซึ่งธีมการลงทุนเด่น แนะนำ

  • หุ้นอิงดอกเบี้ยขาลง เช่น MTC, SAWAD, ADVANC, CPALL, TRUE
  • หุ้นอิงภายใน เช่น KBANK, KTB, MTC, SAWAD, CPALL
  • หุ้นอิงยอดขอ BOI เร่งตัว โดยเฉพาะ Data Center เช่น WHA, GULF, BGRIM


หวั่น TISA อาจล่าช้า

บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า นายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภา ภายหลังจากยุบสภานั้นจำเป็นจะต้องจัดการเลือกตั้งภายในช่วง 45-60 วัน ซึ่งคาดการณ์กันว่าช่วงเลือกตั้งจะอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 2569 จากนี้จนถึงกว่าจะได้รัฐบาลใหม่รัฐบาลชุดเดิม แต่อย่างไรก็ตามการออกโครงการต่างๆ ที่เป็นโครงการต่อเนื่องถึงรัฐบาลชุดใหม่จะทำไม่ได้

ดังนั้น เป็นไปได้มาตรการ TISA ที่เคยพิจารณาก็อาจถูกยกเลิกออกไปจนกว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่จะเข้ามาดูแล ระยะสั้นนักลงทุนอาจมองความไม่แน่นอนของการเมืองเป็นหลัก พร้อมกับอาจเลือกขายทำกำไรหุ้นออกมาแต่ก็เชื่อว่าภาวะนี้จะอยู่ไม่นานและนักลงทุนจะกลับมาพิจารณาว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเตรียมออกมาตรการกระตุ้น

สถิติที่ผ่านมาตลาดหุ้นมักจะปรับขึ้นก่อนการเลือกตั้งโดยกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเด่นในช่วงเลือกตั้งทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งได้แก่ ค้าปลีก สื่อสาร หากระยะสั้นตลาดเกิดอาการ Panic มองเป็นโอกาสเข้าสะสมในหุ้นกลุ่มข้างต้น นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจด้วยเงินปันผลสูงผสานกับราคาหุ้นไม่แพง

อย่างไรก็ดี ระยะสั้นมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยการเมือง อาจกดดันตลาดหุ้นแต่เชื่อว่า Downside ไม่เยอะมากเพราะในท้ายที่สุดก็จะมีความคาดหวังเกี่ยวกับรัฐบาลชุดใหม่ผสานกับนโยบายกระตุ้นต่างๆ

ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนหากปรับฐานมองเป็นโอกาสเข้าสะสมเน้นที่หุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, HMPRO) ศูนย์การค้า CPN ธนาคารพาณิชย์ (BBL SCB) การเงิน (MTC TIDLOR) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) เป็นต้น


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ