
ตลาดทุนทั่วโลกกลับมาคึกคักอีกครั้ง ก็คงไม่เกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการประกาศครั้งสำคัญของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ได้ดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงบวก นำโดยดัชนี Dow Jones ปรับเพิ่ม 497.46 จุด (+1.05%) ดัชนี S&P 500 ปรับเพิ่ม 46.17 จุด (+0.67%) และดัชนี Nasdaq ปรับเพิ่ม 77.67 จุด (+0.33%)
การตัดสินใจในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อทิศทางของเงินทุนทั่วโลก ที่มีความคาดหวังว่าจะไหลเข้าตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศไทยด้วย โดยพบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องถึง 6 วันทำการ
Thairath Money พาเจาะลึกบทวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุน เพื่อดูกันว่าจังหวะนี้เราควรจะโฟกัสไปที่กลุ่มหุ้นใดบ้าง
หากไปดูข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2568 หลังพบการซื้อสุทธิต่อเนื่องถึง 6 วันทำการ รวมมูลกว่า 5,566.63 ล้านบาท
สะท้อนความเชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นและแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีส่วนช่วยให้สภาพคล่องทั่วโลกเริ่มเคลื่อนตัวกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศไทย ซึ่งการไหลเข้าของเงินทุนรอบนี้จึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณเริ่มต้นของเม็ดเงินรอบใหม่หลังความชัดเจนด้านดอกเบี้ยสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาโครงสร้างการซื้อขายของผู้ลงทุนรายกลุ่มจะพบว่า กลุ่มที่หนุนตลาดไทยจริง ๆ คือ “ต่างชาติ” เพียงกลุ่มเดียว เนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกัน นักลงทุนสถาบันในประเทศ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงนักลงทุนรายย่อย ล้วนมีการขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพมุมมองที่ต่างกันระหว่างผู้เล่นในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี การที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่องในช่วงที่เฟดกำลังส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอย่างชัดเจน อาจเป็นการยืนยันว่าเม็ดเงินกำลังมองหาตลาดที่มีพื้นฐานมั่นคง ราคายังไม่แพง และตลาดหุ้นไทยยังเป็นหนึ่งในจุดหมายของกระแสเงินทุนรอบใหม่
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 497 จุด (+1%) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์
ระยะสั้นมองบวกกับหุ้นไทยจากสภาพคล่องอาจไหลเข้ามาและเช้านี้เงินบาทแข็งค่าทดสอบระดับ 31.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ เห็นสัญญาณเชิงบวกและมีลุ้นว่าจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นสำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงมองบวกกับหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก
อย่างไรก็ดี วันนี้ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,260-1,280 จุด จิตวิทยาการลงทุนค่อนข้างเป็นบวกโดยเฉพาะจากกระแสเงินทุนต่างชาติ อย่างในวันอังคารก็ได้ซื้อสุทธิ 911 ล้านบาท และด้วยเงินบาทที่แข็งค่าก็มีแนวโน้มจะกลับมาซื้อต่อเนื่อง
ส่วนความกังวลปัญหาชายแดนเชื่อว่ากระทบกับเศรษฐกิจไทยจำกัดพร้อมกับคาดหวังการค่อยๆ ฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว เชิงกลยุทธ์การลงทุนเน้นที่หุ้นขนาดใหญ่ อาทิ ค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO ศูนย์การค้า เช่น CPN ธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL, KBANK KTB, SCB และท่องเที่ยว เช่น AOT, AWC, CENTEL, MINT เป็นต้น
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามคาด แต่จุดบวกคือปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2569 สู่ 2.3% จาก 1.8% และเสริมสภาพคล่องซื้อตั๋วเงินคลัง 4.0 หมื่นล้านเหรียญฯ ตั้งแต่วันศุกร์นี้ (Technical QE)
ขณะที่ยังคาดจะลดดอกเบี้ยในปี 2569-2570 ปีละ 1 ครั้งตามเดิม จึงประเมินการใช้นโยบายอยู่ในทางผ่อนคลาย หนุนสินทรัพย์เสี่ยงต่อ โดยเฉพาะประเทศเกิดใหม่ที่มี Forward Equity Risk Premium สูง อาทิ จีน ไทย ฮ่องกง โดยแนะนำกลยุทธ์วันนี้เน้นลงทุน 4 ธีมหลัก ได้แก่
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้