
จากกรณีที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ดำเนินการยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ และมีการอายัดหุ้นบางจาก หรือ BCP มูลค่าสูงถึง 6,000 ล้านบาท พร้อมขยายผลตรวจสอบบริษัทจดทะเบียน (บจ.) อีก 7 แห่ง
ทำให้ตลาดทุนไทยตกอยู่ในความสนใจอย่างใกล้ชิด ถึงความเสี่ยงของการเป็นช่องทางในการฟอกเงิน ล่าสุดสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกมาระบุถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบ โดยเน้นย้ำว่า ก.ล.ต. ได้ประสานงานขอข้อมูลจากหน่วยงานกำกับดูแลทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงทำงานร่วมกับ ปปง. อย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามเส้นทางการเงินและการถือหุ้นที่ต้องสงสัย
การตรวจสอบของ ก.ล.ต. ในขณะนี้มุ่งเน้นไปที่การสืบหา "ผู้ถือหุ้นตัวจริง" โดยเฉพาะ โดยชี้แจงว่าเป้าหมายไม่ใช่การตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนโดยตรง แต่เป็นการตรวจสอบในชั้นของผู้ถือหุ้นว่ามีการรายงานการถือครองหลักทรัพย์อย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งหากพบการกระทำผิดก็จะมีการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
ด้าน ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ใช่ "แหล่งฟอกเงิน" แต่ยอมรับว่าข่าวเชิงลบที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ทั้งนี้ พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ และเน้นย้ำว่า ตลท. มีระบบตรวจสอบธุรกรรมกว่า 5-6 แสนรายการต่อวันอย่างเข้มงวดเพื่อดูความผิดปกติ
อย่างไรก็ดี มองว่าการอายัดหุ้น BCP จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสภาพคล่องการซื้อขายในภาพรวม
พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบเส้นทางการเงินและการถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมหรือสแกมเมอร์ โดยระบุว่าขณะนี้ ก.ล.ต. ได้เริ่มกระบวนการประสานงานขอข้อมูลจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติในการตรวจสอบ
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างใกล้ชิด โดยมีการตกลงแนวทางการเปิดเผยข้อมูลร่วมกันเพื่อความชัดเจนในการตรวจสอบ ซึ่งการขอข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ จะดำเนินการตามความจำเป็น และโฟกัสเฉพาะจุดที่มีข้อสงสัย
ด้าน ธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า แนวทางการตรวจสอบนั้น เป้าหมายหลักในขณะนี้คือการตรวจสอบในชั้นของ "ผู้ถือหุ้น" ว่ามีการรายงานข้อมูลการถือครองหลักทรัพย์ถูกต้องหรือไม่ โดยไม่ได้เป็นการเข้าไปตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนโดยตรง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
ประเด็นสำคัญคือการพิสูจน์ทราบให้ได้ว่า ใครคือ "ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง" เนื่องจากตามกฎหมาย ผู้ที่มีหน้าที่รายงานการถือครองหุ้นคือผู้ที่ทำธุรกรรมหรือเจ้าของที่แท้จริง
หากมีการใช้ตัวแทน (Nominee) หรือโครงสร้างนิติบุคคลบังหน้า ก็จำเป็นต้องเปิดเผยไปให้ถึงบุคคลธรรมดาที่เป็นเจ้าของตัวจริง จะอ้างว่าเป็นเพียง "กล่อง" หรือนิติบุคคลลอยๆ ไม่ได้
สำหรับบทลงโทษหากพบว่ามีการรายงานข้อมูลไม่ถูกต้อง หรือไม่ทำตามเกณฑ์ Tender Offer ก็จะต้องทำให้ถูกต้อง และอาจมีความผิดซึ่งมีโทษจำคุกและปรับตามกฎหมายทีกำหนด ซึ่งปัจจุบันมีอำนาจในการ "กล่าวโทษ" และส่งต่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของกลุ่มเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท ว่า
ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองเรื่องนี้เป็นสัญญาณที่ดีและน่าชื่นชมที่ภาครัฐมีมาตรการออกมาปกป้องประชาชนและนักลงทุนอย่างจริงจัง ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด
อย่างไรก็ตาม อัสสเดช ยอมรับว่าข่าวสารเชิงลบที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แม้จะเกิดกับบริษัทจดทะเบียนเพียงไม่กี่รายจากทั้งหมดกว่า 800 บริษัท แต่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยในระดับหนึ่ง
แต่หากจะกล่าวหาว่าตลาดหุ้นไทยกลายเป็น "แหล่งฟอกเงิน" นั้น อาจจะเป็นคำกล่าวที่รุนแรงเกินไป
ในประเด็นความกังวลเรื่องผลกระทบต่อสภาพคล่องและการซื้อขายหุ้น BCP นั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้น หุ้นมูลค่า 6,000 ล้านบาทที่ถูกอายัดนั้น น่าจะเป็นส่วนที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวซื้อขายในช่วงที่ผ่านมาอยู่แล้ว
ดังนั้น จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปริมาณการซื้อขายหรือราคาหุ้นในกระดาน อีกทั้งทางบริษัทเองก็ได้มีการออกแถลงการณ์และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อดูแลเรื่องนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนด้วย
สำหรับการกำกับดูแลเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาวอัสสเดช เน้นย้ำว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่เข้มงวด โดยตรวจสอบธุรกรรมกว่า 500,000 - 600,000 รายการต่อวันเพื่อดูความผิดปกติ
อัสสเดช ชี้แจงถึงกระแสข่าวที่มีการระบุว่ามีบริษัทจดทะเบียนอีก 6 แห่ง (รวม BCP เป็น 7 แห่ง) ที่อาจมีความเชื่อมโยงหรืออยู่ในการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายฟอกเงินนั้น
โดยระบุว่า ตนได้รับทราบคำถามเกี่ยวกับรายชื่อของทั้ง 7 บริษัทที่มีการพูดถึงกัน แต่ปัจจุบันเท่าที่ทราบ ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดส่งหนังสือหรือดำเนินการขอข้อมูลอย่างเป็นทางการมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับบริษัทเหล่านั้น
อย่างไรก็ตามยืนยันว่าหากมีความจำเป็นหรือมีการประสานงานเข้ามา ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะสนับสนุนข้อมูลและให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานทางการในการดำเนินคดีและตรวจสอบ
ในประเด็นความกังวลเรื่องความล่าช้าหรือความคลุมเครือในการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับคดีลักษณะนี้ อัสสเดช ได้ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า โดยพื้นฐานแล้ว หน้าที่ของบริษัทจดทะเบียนคือการเปิดเผยข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบการ ความเสี่ยง และการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์
ซึ่งจากการตรวจสอบทั้ง 800 กว่าบริษัท ก็พบว่ามีการดำเนินการถูกต้อง แต่ในกรณีที่เป็นธุรกรรมส่วนตัวของผู้ถือหุ้นนั้น ต้องยอมรับว่าไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของบริษัทจดทะเบียนที่จะต้องไปตรวจสอบหรือเปิดเผยธุรกรรมของผู้ถือหุ้นรายตัว
แต่หากเป็นการกระทำผิดกฎเกณฑ์การซื้อขายในตลาด หรือมี "พฤติกรรมต้องห้าม" ในการเทรด ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะดำเนินการตรวจสอบและลงโทษทันที ซึ่ง ณ ขณะนี้ในส่วนของพฤติกรรมการซื้อขายที่อยู่ใต้อำนาจของ ตลท. ยังไม่พบความผิดปกติในลักษณะดังกล่าว แต่หากเป็นความผิดตามกฎหมายฟอกเงินที่หน่วยงานอื่นดูแล ตลท. ก็พร้อมสนับสนุนข้อมูลเพื่อยับยั้งความเสียหาย
ด้าน ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เปิดเผยถึงภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทยประจำเดือนพฤศจิกายน โดยระบุว่าสถานการณ์มีความน่ากังวลในระดับหนึ่ง โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวลดลง 4% ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีปรับตัวลดลงไป 10.2%
ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายก็ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 35,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือว่าลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของปีนี้ที่อยู่ระดับ 41,000 ล้านบาทต่อวัน และลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยกดดันหลักที่ทำให้ตลาดปรับตัวลดลง มาจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนล่าสุดที่ไม่สู้ดีนัก อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 3 มักเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ ประกอบกับภาคการส่งออกได้มีการเร่งตัวไปแล้วในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 จากความกังวลเรื่องกำแพงภาษี (Tariff)
ในส่วนของกระแสเงินทุนต่างชาตินั้น เริ่มเห็นสัญญาณการไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในหุ้นไทย โดยในเดือนพฤศจิกายนมีเงินไหลออกกว่า 12,559 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ประมาณ 130,000 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ดร.ศรพล ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยบวกที่อาจเข้ามาช่วยพยุงตลาด โดยคาดหวังว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จะปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 3 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง หรือมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง ซึ่งจากการสังเกตบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยตามฤดูกาลที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนตลาดทุนในเดือนธันวาคม คือแรงซื้อจากกองทุนรวมเพื่อการลดหย่อนภาษี ซึ่งปกติจะเป็นเดือนที่มีเม็ดเงินส่วนนี้เข้ามาหนุนตลาด รวมถึงความคาดหวังต่อมาตรการ TISA ที่หากมีความชัดเจ จะเป็นมาตรการที่ส่งผลดีต่อการตัดสินใจของนักลงทุนในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งตลาดมีการปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างรวดเร็วไปสู่ความคาดหวังว่าจะมีการลดดอกเบี้ย เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ บางตัวเริ่มบ่งชี้ถึงความเสี่ยง ซึ่งหากมีการลดดอกเบี้ยจริงก็น่าจะเป็นผลดี และหลังจากนั้นต้องติดตามท่าทีของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยที่จะประชุมตามมา
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้