
Thairath Money พาเจาะลึกหุ้นที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการเติบโต และกำลังมีสัญญาณฟื้นตัวที่น่าจับตาอย่าง DOHOME หรือ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่งวัสดุก่อสร้างเจ้าใหญ่ของประเทศ
ใครจะไปคิดว่าบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ทะลุหมื่นล้านบาทในวันนี้ จะมีจุดเริ่มต้นจากร้านขายวัสดุก่อสร้างเล็ก ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อปี 2526
นี่คือหนึ่งในเรื่องราวของธุรกิจที่น่าสนใจ และที่สำคัญกว่านั้นคือในมุมมองของการลงทุน เพราะหลังจากที่ผลประกอบการเคยถูกกดดันจน SSSG ติดลบหนักมาพักใหญ่ และตอนนี้สัญญาณฟื้นตัวกลับมาแล้ว แถมกรณี “น้ำท่วมภาคใต้" ก็เข้ามาเป็นตัวเร่งสำคัญในช่วงปลายปีนี้ด้วย
เรื่องราวของ DOHOME เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2526 ในชื่อ "ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. อุบลวัสดุ" ที่เน้นจำหน่ายสินค้าพื้นฐานอย่างเหล็ก ไม้อัด และวัสดุก่อสร้าง
โดยมีกลยุทธ์ที่เรียบง่ายคือ "ครบ ถูก ดี" เน้นความหลากหลายของสินค้า คุณภาพที่เชื่อถือได้ และราคาแบบค้าส่งที่แข่งขันได้ ซึ่งดึงดูดทั้งผู้รับเหมาและร้านค้ารายย่อยให้มาเป็นลูกค้าประจำ
จุดเปลี่ยนสำคัญคือในปี 2546 ที่บริษัทฯ ตัดสินใจปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่ จากร้านแบบดั้งเดิมมาสู่รูปแบบ Modern Trade ที่มีระบบจัดการสินค้าที่ทันสมัย มีการนำ ระบบบาร์โค้ด มาใช้ในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และขยายพื้นที่ให้เป็นเหมือนคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่ครบจบในที่เดียว
และได้เริ่มใช้ชื่อทางการค้าว่า "ดูโฮม" ก่อนจะเดินหน้าขยายสาขาไปทั่วประเทศ ปัจจุบัน DOHOME มีสาขาขนาดใหญ่ (Hypermarket) 26 สาขา และสาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) อีก 17 สาขา
สำหรับกลุ่มสินค้าหลักที่ DOHOME ขายครอบคลุมทั้งวัสดุก่อสร้างและเหล็กซึ่งเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท อุปกรณ์ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในบ้าน รองรับลูกค้าทั่วไปที่ต้องการปรับปรุงซ่อมแซม
ลูกค้าหลักจึงเป็นกลุ่ม ผู้รับเหมา และ ร้านวัสดุรายย่อย ที่ซื้อในปริมาณมาก แต่ก็มีสินค้าที่หลากหลายในราคาค้าส่งที่ดึงดูด ครัวเรือน ทั่วไปด้วย เป็นการผสมผสานจุดเด่นของราคาค้าส่งและความหลากหลายแบบ Home Improvement เข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อธุรกิจมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2562 ด้วยราคา IPO ที่ 7.80 บาท ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและจุดเริ่มต้นการเติบโตของบริษัทไปอีกขั้น และทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2563-2564 ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดมากกว่า 20 บาทต่อหุ้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ต้องยอมรับว่า DOHOME เผชิญความท้าทายจากหลายด้าน ทั้งกำลังซื้อที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง และผลกระทบจากราคาเหล็กที่ผันผวน ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยผลประกอบการย้อนหลัง
ขณะที่ราคาหุ้น DOHOME ณ ราคาวันที่ 2 ธันวาคม อยู่ที่ 3.78 บาท ซึ่งนับว่าอยู่ในต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ได้ส่งสัญญาณที่นักลงทุนรอคอย โดยสามารถทำกำไรสุทธิที่ 102.06 ล้านบาท เติบโตถึง 32.4% เทียบกับปีก่อน แม้ยอดขายจะลดลง แต่มีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ 17.7% ดีขึ้นจาก 16.4% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
เพราะสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้นมาก โดยเฉพาะกลุ่มเหล็ก ที่ GPM กลับมาสู่ระดับปกติที่ 10-11% ได้สำเร็จ ขณะที่ยอดขายสาขาเดิม หรือ SSSG แม้ยังติดลบ 5%-7% แต่ดีขึ้นจากที่เคยติดลบหนักกว่านี้ในไตรมาสก่อนหน้า แสดงถึงแนวโน้มการฟื้นตัวที่กำลังมา
นักวิเคราะห์ต่างลงความเห็นว่า ไตรมาส 3 ปี 2568 น่าจะเป็น "จุดต่ำสุด" ของ DOHOME แล้ว เนื่องจากสัญญาณ GPM ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ทำได้ดี ทำให้แม้รายได้จะยังลดลงตามปัจจัยฤดูกาลแต่กำไรก็ยังเติบโตได้
นอกจากสัญญาณการฟื้นตัวภายในแล้ว DOHOME ยังมี ปัจจัยบวกภายนอกโดยเฉพาะสถานการณ์ น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งโดยปกติแล้ว หลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ มักจะเกิด "ดีมานด์การซ่อมแซมบ้านเรือน" ตามมาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ใช้ซ่อมแซม เช่น สี ไม้ หลังคา ปูนซีเมนต์ และเครื่องมือช่าง พุ่งสูงขึ้น
และเมื่อพิจารณาราคาหุ้นปัจจุบันลงไปต่ำสุดในรอบ 5 ปี ทำให้ Valuation ของ DOHOME น่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"
ข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ระบุว่า จากโบรกเกอร์ที่ให้ความเห็นการลงทุนจำนวน 12 ราย มี 6 ราย แนะนำ “ซื้อ” 4 ราย แนะนำ “ถือ” และ 2 ราย แนะนำ “ขาย”
บล. กสิกรไทย คาดการณ์ว่ากำไรของ DOHOME จะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปี 2568 โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ 102 ล้านบาท นั้นเพิ่มขึ้นถึง 32% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่เพิ่มขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่เข้มงวด
แม้ว่ายอดขายจะลดลงอย่างมากก็ตาม ในเดือนตุลาคม แต่แนวโน้ม SSSG (Same-Store Sales Growth) ปรับตัวดีขึ้น โดยติดลบอยู่ในช่วง -5% ถึง -7% โดยได้รับแรงหนุนหลักจาก SSSG ของช่องทาง back-office ที่ติดลบน้อยลง
นอกจากนี้คาดว่า DOHOME จะมีกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2568 ภายใต้สมมติฐานว่าการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นไปตามกำหนดเวลา และมีการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านอุปทานเหล็กมากขึ้น
สำหรับปี 2569 คาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่ากำไรจะเติบโต 15% จากปีนี้อยู่ที่ 762 ล้านบาท และคาดว่า SSSG จะเป็นบวก 2% หนุนจากช่วงไฮซีซันของการก่อสร้างและการเบิกจ่ายงบภาครัฐที่ราบรื่น โดยให้คำแนะนำ "ถือ" ราคาเป้าหมาย 4.20 บาท
ด้าน บล. หยวนต้า ระบุว่ากำไรปกติไตรมาส 3 ปี 2568 ออกมาใกล้เคียงที่คาด แต่ดีกว่าที่ตลาดคาดถึง 15% ผลประกอบการฟื้นตัวโดดเด่นหนุนจาก GPM ที่ดีขึ้นซึ่งช่วยชดเชยรายได้ที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะ GPM กลุ่มเหล็กที่กลับสู่ระดับปกติที่ 10-11% จาก 7% ในไตรมาส 3 ปี 2567 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A และต้นทุนทางการเงินให้ลดลงได้
อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวโน้ม SSSG ที่ติดลบ 5-7% ในช่วงไตรมาส 4 ถึงปัจจุบันนั้น อ่อนแอน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากการคลี่คลายของปัญหาขาดแคลนเหล็กและการฟื้นตัวของยอดขายกลุ่มลูกค้าผู้รับเหมา
โดยคาดการณ์ว่ากำไรปกติไตรมาส 4 ปี 2568 จะเติบโตได้ตามปัจจัยฤดูกาลและ GPM ที่ดีขึ้น คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยคงราคาเหมาะสมที่ 4.50 บาท จากแนวโน้มผลประกอบการที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปอีกสองไตรมาส
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้