DOHOME จากร้านวัสดุอุบลฯ สู่บริษัทหมื่นล้านในตลาดหุ้น ลุยพลิกเกมกำไร ลุ้นธีมซ่อมบ้านหลังน้ำท่วม

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

DOHOME จากร้านวัสดุอุบลฯ สู่บริษัทหมื่นล้านในตลาดหุ้น ลุยพลิกเกมกำไร ลุ้นธีมซ่อมบ้านหลังน้ำท่วม

Date Time: 3 ธ.ค. 2568 11:54 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

DOHOME จากร้านวัสดุอุบลฯ สู่บริษัทหมื่นล้านในตลาดหุ้น พบกำไร Q3/68 พลิกโตแรง 32.4% แม้รายได้ลด GPM แกร่งขึ้นเป็น 17.7% ชี้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว โบรกฯ คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 4.50 บาท ลุ้นงานซ่อมบ้านหลังน้ำท่วม หนุนกำไรปี 69 โตต่อ 15%

Latest


Thairath Money พาเจาะลึกหุ้นที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการเติบโต และกำลังมีสัญญาณฟื้นตัวที่น่าจับตาอย่าง DOHOME หรือ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่งวัสดุก่อสร้างเจ้าใหญ่ของประเทศ

ใครจะไปคิดว่าบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ทะลุหมื่นล้านบาทในวันนี้ จะมีจุดเริ่มต้นจากร้านขายวัสดุก่อสร้างเล็ก ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อปี 2526

นี่คือหนึ่งในเรื่องราวของธุรกิจที่น่าสนใจ และที่สำคัญกว่านั้นคือในมุมมองของการลงทุน เพราะหลังจากที่ผลประกอบการเคยถูกกดดันจน SSSG ติดลบหนักมาพักใหญ่ และตอนนี้สัญญาณฟื้นตัวกลับมาแล้ว แถมกรณี “น้ำท่วมภาคใต้" ก็เข้ามาเป็นตัวเร่งสำคัญในช่วงปลายปีนี้ด้วย


จาก “ศ. อุบลวัสดุ” สู่ยักษ์ใหญ่ Modern Trade

เรื่องราวของ DOHOME เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2526 ในชื่อ "ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. อุบลวัสดุ" ที่เน้นจำหน่ายสินค้าพื้นฐานอย่างเหล็ก ไม้อัด และวัสดุก่อสร้าง

โดยมีกลยุทธ์ที่เรียบง่ายคือ "ครบ ถูก ดี" เน้นความหลากหลายของสินค้า คุณภาพที่เชื่อถือได้ และราคาแบบค้าส่งที่แข่งขันได้ ซึ่งดึงดูดทั้งผู้รับเหมาและร้านค้ารายย่อยให้มาเป็นลูกค้าประจำ

จุดเปลี่ยนสำคัญคือในปี 2546 ที่บริษัทฯ ตัดสินใจปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่ จากร้านแบบดั้งเดิมมาสู่รูปแบบ Modern Trade ที่มีระบบจัดการสินค้าที่ทันสมัย มีการนำ ระบบบาร์โค้ด มาใช้ในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และขยายพื้นที่ให้เป็นเหมือนคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่ครบจบในที่เดียว

และได้เริ่มใช้ชื่อทางการค้าว่า "ดูโฮม" ก่อนจะเดินหน้าขยายสาขาไปทั่วประเทศ ปัจจุบัน DOHOME มีสาขาขนาดใหญ่ (Hypermarket) 26 สาขา และสาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) อีก 17 สาขา

สำหรับกลุ่มสินค้าหลักที่ DOHOME ขายครอบคลุมทั้งวัสดุก่อสร้างและเหล็กซึ่งเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท อุปกรณ์ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในบ้าน รองรับลูกค้าทั่วไปที่ต้องการปรับปรุงซ่อมแซม

ลูกค้าหลักจึงเป็นกลุ่ม ผู้รับเหมา และ ร้านวัสดุรายย่อย ที่ซื้อในปริมาณมาก แต่ก็มีสินค้าที่หลากหลายในราคาค้าส่งที่ดึงดูด ครัวเรือน ทั่วไปด้วย เป็นการผสมผสานจุดเด่นของราคาค้าส่งและความหลากหลายแบบ Home Improvement เข้าไว้ด้วยกัน


เผชิญความท้าทาย กดราคาหุ้นต่ำสุดรอบ 5 ปี

เมื่อธุรกิจมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2562 ด้วยราคา IPO ที่ 7.80 บาท ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและจุดเริ่มต้นการเติบโตของบริษัทไปอีกขั้น และทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2563-2564 ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดมากกว่า 20 บาทต่อหุ้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ต้องยอมรับว่า  DOHOME เผชิญความท้าทายจากหลายด้าน ทั้งกำลังซื้อที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง และผลกระทบจากราคาเหล็กที่ผันผวน ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยผลประกอบการย้อนหลัง

  • ปี 2564 รายได้ 25,937.13 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,818.06 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 31,547.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 774.07 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 31,596.74 ล้านบาท กำไรสุทธิ 585.28 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 31,344.51 ล้านบาท กำไรสุทธิ 674.08 ล้านบาท
  • 9 เดือนแรก ปี 2568 รายได้ 22,336.67 ล้านบาท กำไรสุทธิ 504.31 ล้านบาท

ขณะที่ราคาหุ้น DOHOME ณ ราคาวันที่ 2 ธันวาคม อยู่ที่ 3.78 บาท ซึ่งนับว่าอยู่ในต่ำสุดในรอบ 5 ปี

  • นับจากต้นปี -55.25% 
  • ย้อนหลัง 1 ปี -60.19%
  • ย้อนหลัง 3 ปี -68.41%
  • ย้อนหลัง 5 ปี -59.44%


สัญญาณผ่านจุดต่ำสุด? น้ำท่วมใต้หนุน

ล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ได้ส่งสัญญาณที่นักลงทุนรอคอย โดยสามารถทำกำไรสุทธิที่ 102.06 ล้านบาท เติบโตถึง 32.4% เทียบกับปีก่อน แม้ยอดขายจะลดลง แต่มีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ 17.7% ดีขึ้นจาก 16.4% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

เพราะสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้นมาก โดยเฉพาะกลุ่มเหล็ก ที่ GPM กลับมาสู่ระดับปกติที่ 10-11% ได้สำเร็จ ขณะที่ยอดขายสาขาเดิม หรือ SSSG แม้ยังติดลบ 5%-7% แต่ดีขึ้นจากที่เคยติดลบหนักกว่านี้ในไตรมาสก่อนหน้า แสดงถึงแนวโน้มการฟื้นตัวที่กำลังมา

นักวิเคราะห์ต่างลงความเห็นว่า ไตรมาส 3 ปี 2568 น่าจะเป็น "จุดต่ำสุด" ของ DOHOME แล้ว เนื่องจากสัญญาณ GPM ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ทำได้ดี ทำให้แม้รายได้จะยังลดลงตามปัจจัยฤดูกาลแต่กำไรก็ยังเติบโตได้

นอกจากสัญญาณการฟื้นตัวภายในแล้ว DOHOME ยังมี ปัจจัยบวกภายนอกโดยเฉพาะสถานการณ์ น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งโดยปกติแล้ว หลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ มักจะเกิด "ดีมานด์การซ่อมแซมบ้านเรือน" ตามมาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ใช้ซ่อมแซม เช่น สี ไม้ หลังคา ปูนซีเมนต์ และเครื่องมือช่าง พุ่งสูงขึ้น

และเมื่อพิจารณาราคาหุ้นปัจจุบันลงไปต่ำสุดในรอบ 5 ปี ทำให้ Valuation ของ DOHOME น่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"

ข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ระบุว่า จากโบรกเกอร์ที่ให้ความเห็นการลงทุนจำนวน 12 ราย มี 6 ราย แนะนำ “ซื้อ” 4 ราย แนะนำ “ถือ” และ 2 ราย แนะนำ “ขาย”

บล. กสิกรไทย คาดการณ์ว่ากำไรของ DOHOME จะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปี 2568 โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ 102 ล้านบาท นั้นเพิ่มขึ้นถึง 32% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่เพิ่มขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่เข้มงวด

แม้ว่ายอดขายจะลดลงอย่างมากก็ตาม ในเดือนตุลาคม แต่แนวโน้ม SSSG (Same-Store Sales Growth) ปรับตัวดีขึ้น โดยติดลบอยู่ในช่วง -5% ถึง -7% โดยได้รับแรงหนุนหลักจาก SSSG ของช่องทาง back-office ที่ติดลบน้อยลง 

นอกจากนี้คาดว่า DOHOME จะมีกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2568 ภายใต้สมมติฐานว่าการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นไปตามกำหนดเวลา และมีการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านอุปทานเหล็กมากขึ้น

สำหรับปี 2569 คาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่ากำไรจะเติบโต 15% จากปีนี้อยู่ที่ 762 ล้านบาท และคาดว่า SSSG จะเป็นบวก 2% หนุนจากช่วงไฮซีซันของการก่อสร้างและการเบิกจ่ายงบภาครัฐที่ราบรื่น  โดยให้คำแนะนำ "ถือ" ราคาเป้าหมาย 4.20 บาท 

ด้าน บล. หยวนต้า ระบุว่ากำไรปกติไตรมาส 3 ปี 2568 ออกมาใกล้เคียงที่คาด แต่ดีกว่าที่ตลาดคาดถึง 15% ผลประกอบการฟื้นตัวโดดเด่นหนุนจาก GPM ที่ดีขึ้นซึ่งช่วยชดเชยรายได้ที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะ GPM กลุ่มเหล็กที่กลับสู่ระดับปกติที่ 10-11% จาก 7% ในไตรมาส 3 ปี 2567 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A และต้นทุนทางการเงินให้ลดลงได้ 

อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวโน้ม SSSG ที่ติดลบ 5-7% ในช่วงไตรมาส 4 ถึงปัจจุบันนั้น อ่อนแอน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากการคลี่คลายของปัญหาขาดแคลนเหล็กและการฟื้นตัวของยอดขายกลุ่มลูกค้าผู้รับเหมา

โดยคาดการณ์ว่ากำไรปกติไตรมาส 4 ปี 2568 จะเติบโตได้ตามปัจจัยฤดูกาลและ GPM ที่ดีขึ้น  คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยคงราคาเหมาะสมที่ 4.50 บาท จากแนวโน้มผลประกอบการที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปอีกสองไตรมาส




อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ