
ในอดีตที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย เคยเป็นแหล่งทำเงินที่คึกคัก มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันที่สูงลิ่วเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
แต่ภาพความคึกคักนั้นดูเหมือนจะเลือนหายไปเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีหลังมานี้ จนกระทั่งปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่ภาวะ "เงียบเหงา" อย่างเห็นได้ชัดเจน
สะท้อนจากมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงอย่างน่าตกใจ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าสาเหตุหลักมาจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ความเชื่อมั่นทางการเมืองที่ลดลง
รวมถึงกระแสการ "ย้ายบ้าน" ของเงินลงทุนสู่ตลาดต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่า โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 ที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใสอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด วอลุ่มการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก จนกลายเป็นประเด็นที่โบรกเกอร์หลายแห่งออกมาแสดงความกังวลและคาดการณ์ถึงแนวโน้มตลาดในช่วงปลายปีนี้
ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นเงียบเหงา และมีมูลค่าการซื้อขายเบาบาง โดยจบเดือนพฤศจิกายน ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพียง 3.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่เบาบางมาก
อย่างไรก็ดี ในภาพรวมตลาดทุนทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา เห็นการ สลับกลุ่มการลงทุนที่ชัดเจน โดยเงินทุนมีการสลับจากหุ้นเติบโต ไปสู่หุ้นคุณค่ามากขึ้น ซึ่งสะท้อนได้จากผลตอบแทน
ในขณะที่ ตลาดหุ้นไทย (SET Index) กลับ Underperform ติดลบถึง -4.3% จากต้นเดือนพฤศจิกายน สวนทางกับกระแสการลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ได้รับผลบวก
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นถึงความซึมตัวของ SET INDEX (-0.67% วานนี้) โดยมี มูลค่าการซื้อขายต่ำที่สุดในรอบ 8 เดือน อยู่ที่เพียง 2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึง ความมั่นใจระดับต่ำมากของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทย
ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอทั้งเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแรงกดดันจากน้ำท่วมในภาคใต้เพิ่มความเสี่ยงต่อประมาณการเศรษฐกิจ และนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่อาจเดินทางเข้าท่องเที่ยวไทยน้อยลง แม้เงินบาทจะแข็งค่าแต่ไม่ช่วยหนุนกระแสเงินทุนต่างชาติ
แม้เงินบาทจะแข็งค่า แต่ก็ไม่สามารถดึงดูดกระแสเงินทุนต่างชาติได้ โดยในวันก่อนหน้านั้น นักลงทุนต่างชาติ พลิกกลับมาขายสุทธิ 874 ล้านบาท พร้อมกับนักลงทุนสถาบันที่ขายสุทธิ 669 ล้านบาท
นอกจากนี้ การขายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นแรงขายทำกำไรในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงไปก่อนหน้า เช่น DELTA, ADVANC, TRUE ขณะที่นักลงทุนกลับเริ่มเห็นแรงซื้อในกลุ่ม Defensive เช่น BDMS, GULF ซึ่งตอกย้ำถึงมุมมองเชิงระมัดระวังของนักลงทุนในปัจจุบัน
ในทางกลับกัน ขณะที่หุ้นไทยเงียบเหงา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับยังคงเป็นเป้าหมายหลักของเงินลงทุน บรรดานักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งได้เริ่มออกมาปรับเพิ่มประมาณการตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาสำหรับปีหน้า โดยเฉพาะดัชนี S&P 500
โดย เจพีมอร์แกน (J.P. Morgan) ชี้ว่า สหรัฐฯ จะยังคงเป็น ประเทศที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเติบโตสูงถึง 13-15% ในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับนักวิเคราะห์อื่นที่คาดว่ากำไรปี 2569 จะขยายตัว 14.3%
แม้มีความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI แต่เจพีมอร์แกนมองว่า ราคาหุ้นที่สูงในปัจจุบัน สะท้อนความคาดหวังที่ถูกต้องต่อการเติบโตของกำไรที่เกินค่าเฉลี่ย การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้น และนโยบายการคลังที่ผ่อนคลาย
นอกจากนี้ได้ให้เป้าหมายในกรณีที่ดีที่สุด (Bull Case) ว่าดัชนี S&P 500 อาจจะขึ้นไปแตะระดับ 8,000 จุด ได้ภายในปี 2026. เป้าหมายนี้ถือว่าน่าสนใจ เนื่องจากมีอัปไซด์ประมาณ 20% จากระดับปัจจุบัน
การเติบโตที่โดดเด่นนี้เองที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทั่วโลก และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกระแส "นักลงทุนหนีหุ้นไทยไปหุ้นนอก" เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในตลาด S&P 500
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้