
CPALL มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/68 ที่ 6,597 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% จากปีก่อน
สถานการณ์หุ้น CPALL หรือบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของ 7-Eleven ที่เราคุ้นเคยกันดี ปัจจุบันราคาหุ้นอาจสร้างความกังวลให้นักลงทุนอยู่ไม่น้อย วันนี้ปิดที่ 44.50 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2568 ราคาได้ปรับตัวลดลงถึง 11.25 บาท หรือคิดเป็นการติดลบถึง 20.17%
ภาพที่เกิดขึ้นนี้ดูจะสวนทางกับความแข็งแกร่งของธุรกิจ 7-Eleven ที่เรายังคงเห็นการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2568 ที่บริษัทเพิ่งประกาศออกมานั้น มีกำไรเติบโตถึง 17%
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือนักลงทุนที่กำลังสนใจเข้าซื้อ หรือมีหุ้นอยู่ในพอร์ตควรทำอย่างไร นี่เป็นโอกาสลงทุนในระยะยาวหรือไม่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความท้าทายเช่นนี้
หากมาดูงบไตรมาส 3 ปี 2568 ที่บริษัทเพิ่งประกาศออกมานั้น ต้องบอกว่า "กำไรสวย" บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,597 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 17.6% เลยทีเดียว
ในขณะที่รายได้รวมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน อยู่ที่ 250,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% โดยรายได้โตมาจากทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งร้านสะดวกซื้อ (7-Eleven) ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก (อย่าง CPAXT) และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ
แต่ประเด็นสำคัญที่ตลาดจับตามองและอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนกังวล อยู่ตรง "ยอดขายสาขาเดิม" (Same-Store Sales Growth หรือ SSSG) ของธุรกิจ 7-Eleven ที่ในไตรมาส 3 นี้ SSSG ของ 7-Eleven ลดลง 0.5%
ทาง CPALL อธิบายว่า สาเหตุที่ SSSG ลดลง มาจากปัจจัยเรื่องฤดูกาลที่กระทบการเดินทางในประเทศ ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับลดลงด้วย
แล้วกำไรโตมาจากไหน คำตอบคือ แม้สาขาเดิมจะซบเซาไปบ้าง แต่ CPALL ใช้กลยุทธ์ "การขยายสาขา" อย่างต่อเนื่อง ไตรมาส 3 ไตรมาสเดียว เปิดร้าน 7-Eleven ใหม่อีก 169 สาขา ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส มีร้านทั่วประเทศรวม 15,764 สาขาแล้ว พอสาขาใหม่เยอะขึ้น รายได้รวมก็เลยโต
อีกปัจจัยสำคัญคือ "อัตรากำไรขั้นต้น" (GPM) ที่ทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะใน 7-Eleven ที่ GPM ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 29.4% (จาก 29.1% ปีก่อน) เพราะบริษัทเน้นกลยุทธ์การขายสินค้ามาร์จิ้นสูง โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ที่ยังเป็นพระเอกทำรายได้หลัก (สัดส่วน 76.5% ของยอดขาย)
แม้ว่าราคาหุ้น CPALL ในปัจจุบันจะปรับตัวลดลงจากต้นปีมามากแล้ว จนทำให้นักลงทุนหลายคนกังวล แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ดูเหมือนว่าสถานการณ์นี้คือ "โอกาส" ในการลงทุนระยะยาว เมื่อดูข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน พบว่ามีนักวิเคราะห์เชียร์ “ซื้อ” ทั้งหมด 19 สำนัก ให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 80 บาท และต่ำสุด 54 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ความเห็นกับ Thairath Money ว่า กำไรไตรมาส 3/68 ออกมาสอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทยังได้เปรียบเชิงธุรกิจจากมีร้านสะดวกซื้อที่ยังมีโมเมนตัมในการเติบโตต่อได้
แม้ว่าตัวเลขยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะลดลง แต่การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ยอดขายเติบโตได้ ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ส่งผลให้ในภาพรวมสามารถชดเชยและทำให้ผลประกอบการเติบโต
สำหรับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาจากต้นปีค่อนข้างมากนั้น ส่วนหนึ่งมองว่ามาจากภาวะตลาดหุ้นไทย เพราะหากดูในแง่ผลประกอบการแล้วยังมีการเติบโตได้ แต่เมื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยโดนปรับลดน้ำหนักลงมา และมีเม็ดเงินไหลออก CPALL ก็ถูกแรงเทขายด้วย เนื่องจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในปัจจุบันอาจไม่โดดเด่นเท่าในอดีตที่ในรอบ 1 ปี อยู่สูงกว่า 45% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีการบริโภคอ่อนแอ ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาเรื่อยๆ สอดคล้องกับความคาดหวังของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม CPALL ยังมีปัจจัยลบเฉพาะตัวที่เกิดขึ้นในอดีตกดดันราคาหุ้นด้วย อย่างเรื่องการเข้าซื้อโครงการ “The Happitat” หรือข่าวลือการเข้าซื้อ Seven & i แม้ปัจจุบันจะมีความชัดเจน แต่ราคาหุ้นได้สร้างฐานใหม่ที่ระดับปัจจุบันไปแล้ว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการเชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้ทั้งในไตรมาส 4/68 และปี 2569 ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยให้คำแนะนำ “ซื้อ” และเชื่อว่าเป็น “หุ้นที่ปลอดภัย” ในกลุ่มอุตสาหกรรม และสามารถถือได้ในระยะยาว
“แม้ราคาหุ้นจะยังไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่การลงทุนในระยะยาวยังได้ผลตอบแทนจากปันผลอยู่ หากเชื่อว่าไซเคิลของเศรษฐกิจจะกลับมา CPALL จะเป็นหุ้นที่ได้รับอานิสงส์โดยตรง” นักวิเคราะห์ฯ กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี ระบุว่า กำไรไตรมาส 3/68 สูงกว่าที่ประมาณการไว้ 4% และสูงกว่า Bloomberg Consensus 2% จากการเติบโตของยอดขาย 4% ซึ่งมาจากการขยายสาขารวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นรวมที่ขยายตัวเป็น 22.8% โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีของยอดขายอาหารพร้อมทาน
โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 80 บาท จากการเติบโตของกำไรที่ชัดเจนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงความสามารถในการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในระยะยาว โดยให้ CPALL เป็นหุ้น Top pick สำหรับกลุ่มค้าปลีก
ส่วนบล.พาย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/68 ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ โดยการเติบโตหนุนจากการขยายสาขา และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม(SSSG) ของ 7-Eleven จะลดลง 0.5% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้น
แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของยอดขายสินค้าพร้อมทานและสินค้าพร้อมดื่ม และการบริโภคภาพรวมที่ดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 68.00 บาท
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้