
โครงการคนละครึ่งพลัสเฟสแรกมียอดใช้จ่าย 2.5 หมื่นล้านบาทใน 11 วันแรก
นาทีนี้ต้องบอกว่ากระแสโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง "คนละครึ่งพลัส" ร้อนแรงจริงๆ ดูจากตัวเลขล่าสุด (ณ 8 พ.ย. 68) ก็ชัดเจนเลยว่าคึกคักมาก แค่ 11 วันแรกของการใช้จ่าย ยอดสะพัดไปแล้วกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยแล้วคือมีเงินหมุนเข้าระบบเศรษฐกิจฐานรากวันละ 2.27 พันล้านบาทเลยทีเดียว
แต่ที่กำลังจับตาอย่างมาก ไม่ใช่แค่ความสำเร็จของเฟสปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นกระแสข่าวที่ว่า รัฐบาลกำลังเร่งเครื่องเต็มที่ เตรียมคลอด "คนละครึ่งพลัส เฟส 2" ตามออกมาติดๆ ให้ทันก่อนสิ้นปี 2568 นี้
โดยคราวนี้ตั้งใจจะเน้นไปที่การเก็บตก ให้สิทธิแก่กลุ่มประชาชนที่อาจจะยังตกหล่น หรือยังไม่เคยได้สิทธิในรอบก่อนหน้า และพอสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ดังขึ้นแบบนี้ แน่นอนว่าในมุมของนักลงทุนอย่างเราๆ ก็ต้องรีบมาส่องกันแล้วว่า
เม็ดเงินรอบใหม่ที่กำลังจะมานี้จะไหลไปทางไหน แล้วหุ้นกลุ่มไหนที่จะเข้าตา รอรับอานิสงส์เต็มๆ จากเรื่องนี้
ประเด็นที่หลายคนสงสัยคือ "คนที่ได้เฟสแรกไปแล้ว จะได้ต่อในเฟส 2 หรือไม่" เรื่องนี้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.กรุงศรี ได้ระบุว่า หากอ้างอิงข้อมูลจากทางปลัดกระทรวงการคลัง ที่เปิดเผยแนวทางเบื้องต้นของมาตรการคนละครึ่ง เฟส 2
คำตอบเบื้องต้นคือ "มีแนวโน้มสูงว่าจะได้ไปต่อ" แต่ตอนนี้เขากำลังออกแบบระบบกันอยู่ เพื่อจัดสรรสิทธิให้เกิดความเท่าเทียมกันมากที่สุด โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ยังไม่เคยได้สิทธิในเฟสแรกเลย
มีแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจว่าเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม สมมติว่าในเฟสแรก ผู้เข้าร่วมได้สิทธิไปแล้วคนละ 2,000 บาท ในเฟส 2 นี้ ผู้ที่ลงทะเบียนใหม่ (ที่ยังไม่เคยได้สิทธิ) อาจจะได้รับสิทธิที่ 4,000 บาท เพื่อให้ยอดรวมสุดท้ายใกล้เคียงกัน
ซึ่งบล.กรุงศรี ยังระบุว่า ถ้าเป็นไปตามกรอบนี้คืออย่างน้อยที่สุดอิงจากผู้ได้รับสิทธิ์เดิมประมาณ 20 ล้านสิทธิ์ หากกลุ่มนี้ได้รับเงินเพิ่มอีกคนละ 2,000 บาท (รัฐช่วย 2,000 ประชาชนเติม 2,000)
เท่ากับว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันทีถึง 80,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินรัฐฯ 40,000 ล้าน และเงินประชาชนอีก 40,000 ล้าน ซึ่งตัวเลขนี้ คิดเป็นประมาณ 0.43% ของ GDP เลยทีเดียว
ด้านฝ่ายวิจัยฯ บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่า เรื่องนี้ถือว่าสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะประเมินว่า หากรัฐอัดฉีดงบประมาณในรอบนี้ราว 44,000 ล้านบาท (ซึ่งอิงจากข้อมูล 5 เฟสที่ผ่านมา) จะสามารถช่วยกระตุ้น GDP ได้อีกราว 0.2% - 0.3% เลยทีเดียว
ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินสำคัญที่จะเข้ามาช่วย "พยุง" เศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะ Technical Recession หรือเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค
แน่นอนว่าพอกระตุ้นการใช้จ่ายฐานรากที่เน้น 4 กลุ่มหลัก (ร้านอาหาร, โชห่วย, บริการ, ร้านยา) แบบนี้ กลุ่มที่รับประโยชน์ไปเต็มๆ ก็คือหุ้นที่อิงกับกำลังซื้อในประเทศ
ซึ่งหุ้นเด่นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ตรงๆ ไม่ว่าจะเป็นสายค้าปลีกอย่าง TNP, KK, สายเครื่องดื่ม ICHI, CBG, SAPPE ไปจนถึงกลุ่มบริการและการเดินทางอย่าง BEM, BTS และ SPA
ขณะที่ บล.กรุงศรี ก็ลิสต์หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลบวกโดยตรงจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นมาให้แล้ว ดังนี้
ก็ต้องบอกว่าเป็นสตอรี่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง สำหรับมาตรการนี้ นักลงทุนอาจจะต้องติดตามรายละเอียดอย่างเป็นทางการจากทางรัฐบาลอีกครั้ง แต่สำหรับใครที่กำลังมองหาธีมการลงทุนระยะสั้น นี่ก็ถือเป็น "ลิสต์" ที่น่าสนใจไว้ทำการบ้านต่อได้
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้