
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและ AI, ดัชนี NASDAQ ลดลง -1.90%
ช่วงนี้ใครที่ลงทุนอยู่คงรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะตีลังกา โดยเฉพาะคนที่ถือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ของสหรัฐฯ จากที่เคยเป็น "พระเอก" แบกตลาดมาตลอด พากันวิ่งทำจุดสูงสุดใหม่เป็นว่าเล่น จู่ๆ ก็พร้อมใจกันโดนเทขายอย่างหนักแบบไม่ทันตั้งตัว
พอมาส่องดูบรรยากาศวันนี้ก็ยิ่งน่าใจหาย เพราะมัน "แดงเถือก" ไปทั้งโลกจริงๆ ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ร่วงหนัก แต่อาการนี้มันลามไปตลาดยุโรป ทั้งเยอรมนี ฝรั่งเศส และลามมาถึงเอเชียบ้านเราทั้งญี่ปุ่น ฮั่งเส็ง หรือตลาดหุ้นไทย ก็หนีไม่รอดโดนกันถ้วนหน้า
คำถามคือนี่มันแค่ "ปรับฐาน" พักเหนื่อยในตลาดขาขึ้น หรือคือสัญญาณ "ฟองสบู่” ที่กำลังจะแตกกันแน่ เพราะความน่ากลัวมันอยู่ตรงที่ว่าการร่วงรอบนี้ มันไม่ได้ร่วงธรรมดา
แต่มันดันมีสัญญาณเตือนระดับภัยพิบัติที่นักเทคนิคเคิลเขาเรียกกันว่า "Hindenburg Omen" โผล่ขึ้นมาในดัชนี NASDAQ ด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ในอดีตเคยเตือนถึงการพังทลายของตลาดครั้งใหญ่ๆ มาแล้ว
พอไปดูข้อมูลก็พบว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องราคาหุ้นที่ "แพง" จนน่ากลัว แต่รากฐานสำคัญอย่าง "ตลาดแรงงาน" ในสหรัฐฯ ก็กำลังมีปัญหาหนัก ซึ่งตัวเลขล่าสุดในเดือนตุลาคมที่เพิ่งออกมา ทำเอาช็อกตลาดไปเหมือนกัน เพราะบริษัทในสหรัฐฯ ประกาศปลดพนักงานไปกว่า 153,000 ตำแหน่ง และเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 20 กว่าปี
เรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่คิด Thairath Money ชวนไล่เรียงดูข้อมูลและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญกันว่า ปรากฏการณ์ "แดงทั้งกระดาน" ครั้งนี้เป็นอย่างไรกันแน่
ถ้าเรามาดูตัวเลขเช้านี้ (7 พ.ย. 2568) ก็ยิ่งตอกย้ำภาพเลยว่า ตลาดสหรัฐฯ เมื่อคืน "ร่วงหนัก" จริงๆ คือแดงทั้งกระดานเลย โดยเฉพาะฝั่งเทคโนโลยีที่โดนเทขายหนักสุด
อาการนี้ก็ลามไปตลาดยุโรปด้วยรวมถึงตลาดหุ้นเอเซีย ที่แดงเถือกไปตามๆ กัน ณ เวลา 13.05 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ดัชนีตลาดหุ้นต่างปรับตัวลดลง ดังนี้
แล้วพอไปดูสินทรัพย์อื่นๆ ก็ยิ่งเห็นภาพชัดขึ้น ราคาน้ำมัน (Brent) ยังคงลดลงเล็กน้อย -0.22% ส่วนดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ก็อ่อนค่าลง -0.44% ไม่เว้นแม้แต่ราคาทองคำในประเทศที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน
ฝ่ายวิจัยฯ บล.เอเซีย พลัส มองว่าตลาดหุ้นโลกมีสัญญาณปรับฐานชัดขึ้น โดยเฉพาะการที่หุ้น AI โดนขายทำกำไรออกมา ท่ามกลางความกังวลเรื่องฟองสบู่และราคาที่แพง ซึ่งอ้างอิง Market Cap ตอนนี้เป็น 2.1 เท่าของ GDP แล้ว
ประเด็นสำคัญคือ บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่าหุ้นในดัชนี NASDAQ เริ่ม สะบัดแรงจนมีสัญญาณ "Hindenburg Omen" เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งดัชนีสัปดาห์นี้ลดลง -2.8% ถ่อเป็นการลงมากสุดในรอบ 32 สัปดาห์
แล้วมันไม่ได้เกิดแค่ในสหรัฐฯ แต่ ตลาดหุ้นไทยหรือ SET Index ของเราก็มีสัญญาณนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่เชื่อว่าการปรับลงของไทย อาจไม่แรงเท่าสหรัฐฯ เพราะบ้านเราส่วนใหญ่ไม่ใช่หุ้นเทคฯ ที่ร้อนแรง และ P/E ยังต่ำแค่ 14 เท่า
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ด้วย
ฝั่งนักวิเคราะห์ จาก บล.พาย ก็ชี้ไปที่แรงขายหุ้นเทคโนโลยีและ AI เหมือนกัน ที่ทำให้ Dow Jones ลบไปเกือบ 400 จุด และให้ความสำคัญกับ "ตัวเลขการเลิกจ้าง" ที่พุ่งขึ้น 3 เท่าจากปีก่อน (อ้างอิงข้อมูล Challenger Gray ที่ 1.5 แสนตำแหน่ง)
พอข่าวแรงงานแย่ ประกอบกับราคาหุ้นที่ขึ้นมาเยอะ เม็ดเงินเลยไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นเทคฯ กลับไปเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตร และทำให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า
อย่างไรก็ตาม บล.พาย เชื่อว่าการปรับลงของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ น่าจะเป็นแค่ "ระยะสั้น" เพราะพื้นฐานเรื่องกำไร (Earnings) ยังมีแนวโน้มเติบโตดีอยู่ แต่ยังต้องเฝ้าระวัง เพราะถ้าคนตกงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ การบริโภคก็จะลดลง และท้ายที่สุดก็จะกระทบกำไรของบริษัทจดทะเบียนอยู่ดี แม้แต่บริษัทเทคก็ตาม
ด้าน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มองว่าตัวแปรที่ตลาดกำลังจับตาดู ไม่ได้มีแค่เรื่องหุ้นเทคฯ แต่ยังมี "คดีภาษีของทรัมป์" ด้วย ซึ่งตอนนี้ศาลฎีกาสหรัฐฯ กำลังพิจารณาว่า การที่ทรัมป์ใช้อำนาจขึ้นภาษีศุลกากร โดยอ้างกฎหมายปี 1977 นั้น เกินขอบเขตหรือไม่
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะรู้ผลเดือนพฤศจิกายนนี้ ถ้าศาลตัดสินว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตจริง อันนี้จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นจีน แต่อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจก็ยังต้องเจอกับความไม่แน่นอนอยู่ดี เพราะทรัมป์อาจไปใช้กฎหมายอื่นมาทดแทนได้
ที่มา : บล.เอเซีย พลัส, บล.ดาโอ (ประเทศไทย), บล.พาย
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้