
ปกติแล้ว ใครนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เพื่อระดมทุน หาเงินเข้าบริษัท แต่ช่วงนี้เรากลับเห็นกลยุทธ์ที่สวนทางกันอย่าง “การซื้อหุ้นคืน” (Stock Repurchase) ที่บริษัทจดทะเบียนควักเงินสดไปซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ มาเก็บไว้เอง ซึ่งกลยุทธ์นี้หุ้นใหญ่ๆ ในไทยและทั่วโลกก็ทำกัน มักใช้เพื่อจัดการสภาพคล่องในบริษัท ปรับโครงสร้างทางการเงิน ไปจนถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหล่าผู้ถือหุ้น
แต่มีอะไรที่เราต้องรู้เกี่ยวกับ การซื้อหุ้นคืน รวมถึงกรณีล่าสุดของ KBANK กับ GULF ทาง Thairath Money สรุปมาไว้ที่นี่แล้ว
"ซื้อหุ้นคืน" ใครได้ประโยชน์?
อย่างแรก เมื่อบริษัทซื้อหุ้นคืนจะทำให้ “จำนวนหุ้นที่ซื้อขายหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลง” ซึ่งหุ้นที่บริษัทซื้อคืนมาจะเรียกว่า หุ้นซื้อคืน หรือ Treasury-Stock และจะไม่มี 3 สิทธิ 1) ไม่นับเป็นองค์ประชุมในการประชุมผู้ถือหุ้น 2) ไม่สามารถออกเสียงลงคะแนน (ใช้แก้ปัญหาผู้ถือหุ้นไม่เห็นด้วยกับนโยบายบริษัทด้วย) 3) ไม่ได้รับเงินปันผล
ถ้าจะให้เปรียบเทียบอาจเหมือนกับ Bitcoin Halving ที่ทำให้จำนวนเหรียญจะลดลง และเพิ่มความต้องการในเหรียญที่มีอยู่ ดังนั้นเมื่อจำนวนหุ้นของบริษัทน้อยลง ก็หวังว่าความต้องการจะเพิ่ม ราคาหุ้นมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น (เมื่อคนมาไล่ซื้อ) และตัวเลขทางการเงินต่างๆ ก็ดีขึ้นด้วย เช่น
1. กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัท A มีกำไร 300 ล้านบาท มีจำนวนหุ้นในตลาดอยู่ 12 ล้านหุ้น เมื่อคำนวณ EPS จะอยู่ที่ 25 บาทต่อหุ้น ต่อมาบริษัท A ประกาศซื้อหุ้นคืน จำนวน 3 ล้านหุ้น ทำให้เหลือหุ้นในตลาด 9 ล้านหุ้น ถ้าคำนวณตามเงื่อนไขนี้ EPS จะเพิ่มเป็น 33.33 บาทต่อหุ้น
2. เงินปันผลต่อหุ้นเพิ่มขึ้น เพราะจำนวนผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับปันผลลดลง ดังนั้นเงินปันผลต่อหุ้น (Dividend Per Share) จะเพิ่มขึ้น
3. อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้น เพราะส่วนของผู้ถือหุ้นปรับลดลง จึงทำให้ ROE สูงขึ้นนั่นเอง
ในส่วนตัวเลขทางการเงินที่ต้องจับตาคือ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่จะเพิ่มขึ้น และสภาพคล่องของหุ้น (Free Float) ลดลง
แต่สาเหตุที่บริษัทประกาศ “ซื้อหุ้นคืน” อาจมาจากเหล่าผู้บริหารแสดงความเชื่อมั่นกับบริษัท และมองว่าราคาหุ้นตอนนี้ต่ำเกินไป จึงต้องเพิ่มความมั่นใจในช่วงระยะสั้นๆ ผ่านวิธีนี้ แต่ตัวหุ้นซื้อคืนที่เกิดขึ้น บริษัทยังต้องบริหารจัดการในเวลาที่กำหนด เช่น ไม่เกิน 3 ปี ต้องนำกลับมาขายในตลาดฯ หรือต้องลดทุนด้วยการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืนทิ้งไป เป็นต้น
เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อควรระวัง การซื้อหุ้นคืน อาจทำให้ตัวเลขทางการเงินภาพรวมดูดีขึ้น แต่ผลประกอบการจะดีขึ้นไหมคืออีกเรื่อง ดังนั้นผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน
เจาะลึกวิธีการซื้อหุ้นคืน
เรามีข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่สรุปเงื่อนไขการซื้อหุ้นคืนไว้ว่า บริษัทที่จะสามารถซื้อหุ้นคืนได้ ต้องมีกำไรสะสม มีสภาพคล่องส่วนเกิน และต้องไม่ทำให้ Free Float ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ 15%
- หากซื้อหุ้นคืน ≤ 10% ของทุนชำระแล้ว คณะกรรมการมีอำนาจตัดสินใจในการซื้อหุ้นคืนได้
- หากซื้อหุ้นคืน >10% ของทุนชำระแล้ว ต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ มี 2 วิธีการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน คือ การเข้าซื้อผ่านกระดานตลาดหลักทรัพย์ และการตั้งโต๊ะเสนอซื้อเป็นการทั่วไป หรือ General Offer (GO) ซึ่งหากซื้อหุ้นคืน > 10% ของทุนชำระแล้ว ต้องซื้อแบบ GO เท่านั้น
แต่หากเป็นการซื้อหุ้นคืนกรณีผู้ถือหุ้นไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทจะต้องส่งคำเสนอซื้อหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นดังกล่าว และให้แจ้งความประสงค์จะขายหุ้นคืนให้บริษัท
สรุปเคส KBANK - GULF
ล่าสุดที่ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 47.39 ล้านหุ้น เพื่อบริหารทางการเงินของธนาคาร โดยกำหนดวงเงินไม่เกิน 8,800 ล้านบาท คิดเป็น 2% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของธนาคาร โดยกำหนดช่วงซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึง 13 พฤษภาคม 2569 (6 เดือน)
แต่ที่เกิดเป็นดราม่าจนหลายคนต้องจับตามองคือ บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KBANK ออกมาบอกว่า KBANK ได้ส่งจดหมายถึงบริษัท GULF ขอความร่วมมือ “งดขายหุ้น KBank ในช่วงที่ธนาคารประกาศซื้อหุ้นคืน” ซึ่ง GULF บอกเป็นทำนองว่า สิทธิการซื้อขายหุ้นเป็นการตัดสินใจของ GULF เอง
จากเคสนี้เลยนำสู่คำถามที่ว่า KBANK ส่งจดหมายถึง GULF เพื่อจุดประสงค์อะไร และมีการส่งจดหมายให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ทุกคนหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ถ้า GULF เกิดขายหุ้นก่อนวันที่กสิกรไทยรับซื้อหุ้นคืน ราคาหุ้น KBANK อาจร่วงลงแรง แต่ถ้าไปขายในช่วงรับซื้อหุ้นคืนก็จะไม่มีผลกระทบต่อตลาด
Thairath Money พูดคุยกับแหล่งข่าวจากธุรกิจการเงิน พบว่า สิ่งที่น่าสนใจในการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้คือ ราคาซื้อหุ้นคืนของ KBANK ที่ถือว่าสูงมาก จากปกติที่ถ้ามีการซื้อหุ้นคืนจะบวกราคาเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เช่น อาจบวก 2-3% แต่จากเงื่อนไขของกสิกรไทยจะบวก 15% ของราคาปิดเฉลี่ย
ทั้งนี้ จากเอกสารของ KBANK ระบุว่า กำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืนจะไม่เกินกว่าราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อหุ้นคืนในแต่ละครั้ง บวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว
(ยกตัวอย่าง ราคาปิดของหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน ถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2568 เท่ากับ 169.10 บาท)
จากเคส KBANK ซื้อหุ้นคืน ธนาคารไหนเตรียมทำต่อ?
ช่วงที่ผ่านมาหลายธนาคารในไทยประกาศซื้อหุ้นคืน ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) จนล่าสุดมาที่แบงก์ใหญ่อย่างกสิกรไทย สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะมีสภาพคล่องเหลือเยอะ ในฐานะคนทั่วไปเราเห็นได้จากยอดการปล่อยสินเชื่อธนาคารที่ติดลบ
กวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่ สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ที่ออกมาเล่ามุมมองส่วนตัวว่า หุ้นกลุ่มธนาคารในช่วง 2 ปีข้างหน้ามีโอกาสจะซื้อหุ้นคืนสูงมาก เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) แต่คิดว่าธนาคารไทยพาณิชย์ที่มียานแม่เป็น บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) น่าจะไม่ซื้อหุ้นคืน เพราะมีการจ่ายปันผลพิเศษแทน
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การหารายได้ใหม่ยังยาก แต่การดูแลผู้ถือหุ้นก็เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นกลยุทธ์การซื้อหุ้นคืน ไม่ได้เกิดแค่กับอุตสาหกรรมแบงก์ แต่ยังรวมถึงหุ้นใหญ่ใน SET50 แต่หลังจากนี้ใครจะประกาศซื้อหุ้นคืนเพื่อเรียกความมั่นใจ หรือ ปรับโครงสร้างทางการเงินอีกบ้าง คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney