
ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่ยังต้องติดตามปัจจัยรอบด้าน ผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของบริษัทจดทะเบียนเป็นเหมือนบทพิสูจน์สำคัญของหุ้นหลายกลุ่ม
แต่สิ่งที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ปรากฏการณ์ "งบสวยแต่ราคาร่วง" หรือ "งบออกแล้วไปต่อ" ซึ่งมันคือกลไกตลาดที่ซ่อนอยู่ในคำว่า “Sell on Fact” และ “Buy on Fact” ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางดัชนีหุ้นไทยโดยตรง
Thairath Money พาถอดรหัสกลยุทธ์เหล่านี้ ส่องมุมมองจากโบรกเกอร์ชั้นนำว่า ตลาดหุ้นไทยจะไปทางไหน กลุ่มไหนเด่น กลุ่มไหนต้องระวัง เพื่อเตรียมวางแผนได้ทันเกม!
ในแวดวงการลงทุน เรามักได้ยินกลยุทธ์คลาสสิกที่ว่า "Buy on Rumor, Sell on Fact" หรือ ซื้อเมื่อมีข่าวลือ ขายเมื่อข่าวจริงปรากฏ ซึ่งสะท้อนการทำงานของกลยุทธ์ Sell on Fact ได้เป็นอย่างดี
พูดง่ายๆ ก็คือ นักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นตัวนั้นๆ มาก่อนหน้าแล้ว โดยอาศัยการคาดการณ์หรือ "ข่าวลือ" ว่าผลประกอบการน่าจะออกมาดี ราคาหุ้นจึงได้ปรับตัวสูงขึ้นมาระดับหนึ่งเพื่อสะท้อนความคาดหวังนั้น
และเมื่อบริษัทประกาศงบออกมาดีตามคาด ก็อาจไม่มีแรงส่งให้ราคาไปต่อได้ไกล นักลงทุนกลุ่มที่ซื้อมาก่อนจึงใช้จังหวะนี้ "ขายทำกำไร" ออกมา ซึ่งมักทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ "หุ้นตกทั้งที่งบดี"
ในทางกลับกัน Buy on Fact หรือซื้อเมื่อข่าวจริงออก มักเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนกำลังรอความชัดเจน ในกรณีผลประกอบการ หากประกาศออกมานั้น "ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้” จึงตัดสินใจเข้าซื้อเพื่อหวังผลตอบแทนจากราคาหุ้นในระยะต่อไป ทำให้ "หุ้นขึ้นเมื่องบออก"
ในช่วงที่ตลาดกำลังให้น้ำหนักกับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/68 นี้ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายแห่งได้ให้ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ ดังนี้
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า อาจเห็นการ Buy On Fact ที่จะเกิดขึ้น ด้วยเหตุผลว่าจากการประกาศกำไรบริษัทจดทะเบียนที่รายงานออกมาแล้วพบว่าส่วนใหญ่แล้วดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์
จึงคาดหวังว่ากลุ่มที่จะรายงานจากนี้น่าจะออกมาดีกว่าคาดการณ์ ประกอบกับเริ่มเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องของรัฐบาลรวมไปถึงการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนผ่านการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ซึ่งจะดีกับการบริโภค
ทั้งนี้ กลุ่มเด่นของผลประกอบการยังน่าจะอยู่ในกลุ่มค้าปลีกที่เน้นสินค้าจำเป็น เช่น CPALL และ CPAXT เพราะมองว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจจำกัด นอกจากนี้ กลุ่มเกี่ยวข้องกับสินค้า IT น่าจะดีจากการเปิดตัว iPhone 17 ด้วย
ซึ่งสวนทางกับสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างกลุ่มยานยนต์ ที่ผลประกอบการอาจจะยังไม่ดีนัก รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมีก็เชื่อว่าจะยังไม่ดีตามการค้าโลก ที่ถูกกดดันจากจีนและสหรัฐฯ
วทัญ กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นไทยนับจากนี้จนถึงปลายปี 2568 เชื่อว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากสถานการณ์โดยรวมที่ผ่อนคลายมากขึ้น สหรัฐฯกับจีนเริ่มเจรจากันประกอบกับแรงหนุนมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ และการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยเงินเฟ้อที่ต่ำรวมถึงเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำ ด้านการท่องเที่ยวก็กำลังจะเข้าสู่ช่วง High Season หนุนการบริโภคและท่องเที่ยว
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้น่าจะยังพักฐานต่อ แนะนำเตรียมรับความผันผวนของราคาหุ้นที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะสั้น จากประเด็นความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและประเด็นการค้าโลก
โดยยังคงแนะนำเน้น หุ้น Defensive (หุ้นตั้งรับ) อย่างกลุ่มโรงพยาบาล (BCH) และ เครื่องดื่ม (OSP) รวมถึงหุ้นนำเข้าสินค้า IT ที่อาจได้อานิสงส์จากการลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% (เช่น ADVANC, COM7, SYNEX) เป็นต้น
ขณะที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สัปดาห์นี้อยู่ในช่วงรายงานงบไตรมาส 3/68 โดยหุ้นสหรัฐฯ ที่รายงานมาแล้ว 1 ใน 3 มีกำไรดีกว่าคาด 13% สำหรับหุ้นไทยเริ่มเห็นสัญญาณกำไรดีกว่าคาดราว 10% อย่างไรก็ดี แนะนำสะสมหุ้น Value หรือ “หุ้นคุณค่า” ได้แก่ CPF, BLA, OR, OSP, BANPU เป็นต้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้