
ตลาดหุ้นไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 กลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อ บมจ. มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) หรือ MRDIYT ผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้าน กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หลังจากการเสนอขายหุ้น IPO ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากนักลงทุน จนสามารถเคาะราคาเสนอขายสุดท้ายที่ระดับสูงสุดของช่วงราคาที่ 8.60 บาทต่อหุ้น ทำให้การระดมทุนครั้งนี้มีมูลค่าสูงถึง 5.6 พันล้านบาท
และส่งผลให้ MRDIYT กลายเป็นหุ้น IPO ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในรอบ 3 ปี และใหญ่ที่สุดของปีนี้ โดยคาดว่าจะเริ่มเข้าซื้อขายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568
Thairath Money พาไปเจาะลึกว่า MRDIYT ทำธุรกิจอะไร ผลประกอบการเป็นอย่างไร รวมถึงราคา 8.60 บาทน่าสนใจหรือไม่ และบทสรุปของประเด็น "ดราม่าหุ้นล็อกอัพ" ที่นักลงทุนให้ความสนใจ
MRDIYT หรือ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ดำเนินธุรกิจหลักคือ ค้าปลีกสินค้าประเภทอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ "MR. D.I.Y."
บริษัทถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกด้านนี้ที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย โดยข้อมูลจาก Frost & Sullivan ระบุว่าในปี 2567 บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 8.8% ของอุตสาหกรรมค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านทั้งหมด และหากนับเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ Chain Retailer บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 39.2%
MR. D.I.Y. เริ่มเปิดสาขาแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2559 และเติบโตอย่างรวดเร็ว จน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีร้านค้าถึง 1,027 สาขา ครอบคลุมครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วไทย
ในแง่ของผลประกอบการ MRDIYT ย้อนหลัง 3 ปี (ช่วงปี 2565-2567) รายได้รวมเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 27.7% ส่วนกำไรสุทธิคิดเป็น CAGR ที่ 30.1% ดังนี้
ล่าสุดในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 9,470.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,176.4 ล้านบาท เติบโตถึง 48.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
MRDIYT เสนอขายหุ้น IPO ทั้งสิ้น 655,000,000 หุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 420,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย MDIH (Singapore) Pte. Ltd. อีก 235,000,000 หุ้น
การเคาะราคาที่ 8.60 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วง 8.30-8.60 บาท สะท้อนถึงความต้องการจองซื้อที่ล้นหลาม เมื่อพิจารณาด้าน Valuation จากข้อมูลในหนังสือชี้ชวน ที่ช่วงราคาดังกล่าว อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) จะอยู่ที่ประมาณ 23.09 - 23.92 เท่า ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกัน (เช่น DOHOME, MOSHI, GLOBAL, HMPRO และ MRDIY ในต่างประเทศ) ซึ่งอยู่ที่ 27.02 เท่า ถือว่า P/E ของ MRDIYT ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม
เงินที่ได้จากการระดมทุนนั้น บริษัทมีแผนจะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ เช่น การขยายสาขาและลงทุนคลังสินค้า ชำระคืนหนี้สินเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาใหม่อีกไม่น้อยกว่า 500 แห่งใน 3 ปีข้างหน้า และมีเป้าหมายกว่า 1,500 แห่งภายในปี 2570
มุมมองจากที่ปรึกษาทางการเงินและผู้บริหารล้วนเป็นไปในทิศทางบวก โดย พิเชษฐ สิทธิอำนวย จาก บล. บัวหลวง ระบุว่า กระแสจองซื้อที่แข็งแกร่งสะท้อนถึงพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคงและศักยภาพการเติบโตในฐานะผู้นำตลาด
ขณะที่ กนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ จาก ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ชี้ว่า ธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านของไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโต (Early Stage of Growth) ซึ่งสะท้อนศักยภาพในการขยายตัวอีกมาก
นอกจากนี้ การเสนอขายครั้งนี้ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำระดับโลกหลายราย ด้านซีอีโอ แอนดี้ ชิน กวานกุ้ย กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์การเติบโตและตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดด้วย
หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดคือเรื่องการ "ล็อกอัพ" หุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือที่เรียกว่า Silent Period โดยเฉพาะเมื่อมีข้อมูลในหนังสือชี้ชวนระบุถึงแผนการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในวันซื้อขายวันแรก
อย่างไรก็ตาม MRDIYT ได้ออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าวอย่างชัดเจน โดยยืนยันว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งหมดได้ "สมัครใจล็อกอัพหุ้นทั้งหมดของตนเอง" เพิ่มเติมจากที่กฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด
สำหรับรายการ Big Lot ที่จะเกิดขึ้นในวันแรก ซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 245 ล้านหุ้น (คิดเป็น 4.07% ของทุนชำระแล้ว) ถูกระบุว่าเป็นการ "ปรับโครงสร้างการถือหุ้นภายในกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม" โดยนายจอมพงษ์ โตมงคล เป็นผู้ขาย และผู้ซื้อคือ Mr. Tan Yu Yeh, Mr. Tan Yu Wei และผู้ถือหุ้นสัญชาติมาเลเซียอีกหนึ่งราย
ซึ่งประเด็นสำคัญคือ ผู้ที่เข้าซื้อหุ้นในรายการ Big Lot นี้ ได้ "สมัครใจล็อกอัพหุ้นทั้งหมดที่ได้มา" ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีการชี้แจงกรณีที่ นายจอมพงษ์ ได้นำหุ้นจำนวน 553.7 - 554 ล้านหุ้น ไปเป็นหลักประกันสินเชื่อส่วนบุคคล โดยเขามีภาระต้องชำระหนี้คืนหลังจากขายหุ้น Big Lot เสร็จสิ้น และภายหลังการชำระหนี้ดังกล่าว นายจอมพงษ์ "สมัครใจล็อกอัพหุ้นที่เหลือจากการปลดหลักประกันทั้งหมด" (ประมาณ 309 ล้านหุ้น) เป็นระยะเวลา 12 เดือน
ดังนั้น การดำเนินการล็อกอัพโดยสมัครใจครั้งนี้ ทำให้มีหุ้นที่ถูกจำกัดการจำหน่ายรวมทั้งสิ้นสูงถึง 5,070 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 84.26% ของหุ้นทั้งหมดหลัง IPO
แบ่งเป็นส่วนที่ถูกห้ามขาย 12 เดือน (ทั้งภาคบังคับและสมัครใจ) 75.18% และส่วนที่ถูกห้ามขายโดยสมัครใจ 90 วันอีก 9.08% ซึ่งผู้บริหารและที่ปรึกษาทางการเงินระบุว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นระยะยาวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีต่อบริษัทฯ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้