
ภาวะสภาพคล่องส่วนเกินกำลังกลายเป็นภูมิทัศน์ใหม่ของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน หลังธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบ ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยและมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นับตั้งแต่ช่วงวิกฤติโควิด-19
ปริมาณเงินที่ล้นทะลักนี้จำเป็นต้องแสวงหาที่ไป และได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ผลักดันให้ราคาสินทรัพย์เพื่อการลงทุนทั่วโลก ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ บิตคอยน์ และตราสารหนี้ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์ "เงินล้นโลก" นี้ ได้สร้างความคาดหวังครั้งสำคัญต่อตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทย โดยสถิติในอดีตชี้ชัดว่า ตลาดเหล่านี้มักจะสร้างผลตอบแทนได้ดี ในช่วงที่เฟดเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ย
ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยต่ำที่คาดว่าจะคงอยู่อีกระยะหนึ่ง จะเป็นปัจจัยเร่งให้เม็ดเงินจากแหล่งที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่กระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่กำลังจ่อเข้าสู่ระบบ จะ "กระเซ็น" มายังตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจโลกกำลังประสบกับภาวะสภาพคล่องส่วนเกิน ซึ่งเป็นผลมาจากการระดมอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางทั่วโลกนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19
โดยมาตรการสำคัญประกอบด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย การทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ทำให้งบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพิ่มขึ้นกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
สภาพคล่องที่ล้นระบบนี้ได้ผลักดันให้ราคาของสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่ารวมของสินทรัพย์โลก (World Asset Value ซึ่งรวมตลาดหุ้นโลกใน MSCI, Bitcoin, ทองคำ และตราสารหนี้โลก) ได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 262 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2567 เป็น 292 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 27 ตุลาคม คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 11%
และส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างหนักที่สุดคือราคาทองคำ ซึ่งมูลค่าเพิ่มจาก 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตราบใดที่ยังไม่มีปัจจัยใดเข้ามาสกัดกั้น โมเมนตัมของการเหวี่ยงมูลค่าสินทรัพย์นี้จะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กล่าวต่อว่า สำหรับกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.06 ล้านล้านบาท (EPS เฉลี่ย 86 บาทต่อหุ้น) โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 5.9 แสนล้านบาท ซึ่งมีโอกาสสอดคล้องกับเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี ยังคงเป้าหมาย SET Index ปีนี้ที่ 1,376 จุด (EPS 89 บาท/หุ้น, P/E 16 เท่า อิง MEYG +1.5 SD) กลยุทธ์แนะนำสะสมหุ้น 4 ธีม คือ
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงทิศทางเม็ดเงินว่า จากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market หรือ EM) มักจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market หรือ DM) ในช่วงที่เฟดเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ย
ปัจจุบัน ETF ทั่วโลกก็พบการไหลเข้าของเม็ดเงินในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ในเดือนกันยายนที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องที่ล้นระบบกำลังมาจ่อเพื่อเข้าสู่ตลาดแล้ว
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นมักจะทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษในช่วงที่ดอกเบี้ยถูกคงไว้ในระดับต่ำเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยต่ำจะทำให้เงินจากแหล่งที่ให้ผลตอบแทนต่ำ เช่น เงินฝากและตราสารหนี้ย้ายกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ดังนั้น จึงมีความหวังว่ากระแสเงินทุนที่ไหลเข้า EM จะมีโอกาส "กระเซ็น" เข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้นได้
สำหรับโอกาสในการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยนั้น หากมองในเชิงขนาด Market Cap ของตลาดหุ้นไทย โดยปกติจะใหญ่กว่าตลาดตราสารหนี้ไทยในทุกปี แต่ในปีนี้ Market Cap ของตลาดหุ้นมีขนาดเล็กกว่าตลาดตราสารหนี้เป็นครั้งแรก
หากใช้สมมติฐานให้ Market Cap ของตลาดหุ้นไทยกลับไปเท่ากับขนาดของตลาดตราสารหนี้ไทย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 17.7 ล้านล้านบาท จะคำนวณกลับมาเป็นดัชนี SET Index ได้ถึงระดับ 1,414 จุด
เชื่อว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นไปถึงระดับดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นภายในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งมาจากการไหลเข้าของเงินทุนส่วนเกินและเม็ดเงินจากฝั่งตราสารหนี้ที่จะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหุ้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้