ยังมีหวัง! หุ้นไทยทะลุ 1,400 ปีหน้า จากภาวะ “เงินล้นโลก” ลุ้นฟันด์โฟลว์ "กระเซ็น" เข้าไทย

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ยังมีหวัง! หุ้นไทยทะลุ 1,400 ปีหน้า จากภาวะ “เงินล้นโลก” ลุ้นฟันด์โฟลว์ "กระเซ็น" เข้าไทย

Date Time: 28 ต.ค. 2568 17:12 น.

Video

ระเบิดเวลาทองคำ! เตรียมรับมือการขยับครั้งสำคัญ? คุยกับ วรุต รุ่งขำ | Thairath Money Night Stand EP.16

Summary

สภาพคล่องล้นโลกดันสินทรัพย์พุ่ง! ลุ้นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ "กระเซ็น" สู่ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนโยกเงินจากสินทรัพย์ผลตอบแทนต่ำ หนุน SET ปีหน้ามีโอกาสทะลุ 1,400 จุด ชู 4 ธีมลงทุนเด่น

Latest


ภาวะสภาพคล่องส่วนเกินกำลังกลายเป็นภูมิทัศน์ใหม่ของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน หลังธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบ ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยและมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นับตั้งแต่ช่วงวิกฤติโควิด-19

ปริมาณเงินที่ล้นทะลักนี้จำเป็นต้องแสวงหาที่ไป และได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ผลักดันให้ราคาสินทรัพย์เพื่อการลงทุนทั่วโลก ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ บิตคอยน์ และตราสารหนี้ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ปรากฏการณ์ "เงินล้นโลก" นี้ ได้สร้างความคาดหวังครั้งสำคัญต่อตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทย โดยสถิติในอดีตชี้ชัดว่า ตลาดเหล่านี้มักจะสร้างผลตอบแทนได้ดี ในช่วงที่เฟดเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ย 

ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยต่ำที่คาดว่าจะคงอยู่อีกระยะหนึ่ง จะเป็นปัจจัยเร่งให้เม็ดเงินจากแหล่งที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่กระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่กำลังจ่อเข้าสู่ระบบ จะ "กระเซ็น" มายังตลาดหุ้นไทยมากขึ้น


สภาพคล่องล้นโลก ดันราคาสินทรัพย์ลงทุนพุ่ง

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจโลกกำลังประสบกับภาวะสภาพคล่องส่วนเกิน ซึ่งเป็นผลมาจากการระดมอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางทั่วโลกนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19

โดยมาตรการสำคัญประกอบด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย การทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ทำให้งบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพิ่มขึ้นกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

สภาพคล่องที่ล้นระบบนี้ได้ผลักดันให้ราคาของสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่ารวมของสินทรัพย์โลก (World Asset Value ซึ่งรวมตลาดหุ้นโลกใน MSCI, Bitcoin, ทองคำ และตราสารหนี้โลก) ได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 262 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2567 เป็น 292 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 27 ตุลาคม คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 11%

และส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างหนักที่สุดคือราคาทองคำ ซึ่งมูลค่าเพิ่มจาก 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตราบใดที่ยังไม่มีปัจจัยใดเข้ามาสกัดกั้น โมเมนตัมของการเหวี่ยงมูลค่าสินทรัพย์นี้จะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ


เปิด 4 ธีมลงทุนหุ้นไทย หวังฟันโฟลว์ไหลเข้า หนุน SET ปีหน้าทะลุ 1,400 จุด

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กล่าวต่อว่า สำหรับกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.06 ล้านล้านบาท (EPS เฉลี่ย 86 บาทต่อหุ้น) โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 5.9 แสนล้านบาท ซึ่งมีโอกาสสอดคล้องกับเป้าหมาย

อย่างไรก็ดี ยังคงเป้าหมาย SET Index ปีนี้ที่ 1,376 จุด (EPS 89 บาท/หุ้น, P/E 16 เท่า อิง MEYG +1.5 SD) กลยุทธ์แนะนำสะสมหุ้น 4 ธีม คือ

  • หุ้น China Play รับการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ได้แก่ SCGP, IVL
  • หุ้น Tariff Play WHA, หุ้นรับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ได้แก่ CPAXT
  • หุ้นได้ประโยชน์บาทแข็งค่า ได้แก่ GULF, BPP
  • เก็งกำไรหุ้นประกันได้ประโยชน์ Bond Yield ดีด ได้แก่ BLA

ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงทิศทางเม็ดเงินว่า จากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market หรือ EM) มักจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market หรือ DM) ในช่วงที่เฟดเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ย

ปัจจุบัน ETF ทั่วโลกก็พบการไหลเข้าของเม็ดเงินในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ในเดือนกันยายนที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องที่ล้นระบบกำลังมาจ่อเพื่อเข้าสู่ตลาดแล้ว

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นมักจะทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษในช่วงที่ดอกเบี้ยถูกคงไว้ในระดับต่ำเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยต่ำจะทำให้เงินจากแหล่งที่ให้ผลตอบแทนต่ำ เช่น เงินฝากและตราสารหนี้ย้ายกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ดังนั้น จึงมีความหวังว่ากระแสเงินทุนที่ไหลเข้า EM จะมีโอกาส "กระเซ็น" เข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้นได้

สำหรับโอกาสในการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยนั้น หากมองในเชิงขนาด Market Cap ของตลาดหุ้นไทย โดยปกติจะใหญ่กว่าตลาดตราสารหนี้ไทยในทุกปี แต่ในปีนี้ Market Cap ของตลาดหุ้นมีขนาดเล็กกว่าตลาดตราสารหนี้เป็นครั้งแรก

หากใช้สมมติฐานให้ Market Cap ของตลาดหุ้นไทยกลับไปเท่ากับขนาดของตลาดตราสารหนี้ไทย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 17.7 ล้านล้านบาท จะคำนวณกลับมาเป็นดัชนี SET Index ได้ถึงระดับ 1,414 จุด

เชื่อว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นไปถึงระดับดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นภายในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งมาจากการไหลเข้าของเงินทุนส่วนเกินและเม็ดเงินจากฝั่งตราสารหนี้ที่จะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหุ้น


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ