
โลหะเงิน หรือ Silver กลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา ด้วยราคาที่ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงจนน่าจับตาซึ่ง Silver ถูกมองว่าเป็นน้องเล็กที่ “ซิ่งกว่า” พี่ใหญ่อย่างทองคำ ซึ่งในปีนี้ราคาปรับตัวขึ้นไปสูงสุดกว่า 80%
ขณะที่หากมองภาพรวมผลตอบแทนในระยะยาว ก็นับว่า Silver ก็น่าสนใจไม่น้อย โดย 1 ปีย้อนหลัง ให้ผลตอบแทน 42.74% และ 5 ปีย้อนหลัง ให้ผลตอบแทนกว่า 96.31% (ราคา ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2568)
ในรายการ Thairath Money Night Stand EP.20 ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน ได้แก่ ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายบริหาร บริษัท เอ็มทีเอส แคปปิตอล จำกัด (MTS Capital) และจักรพันธ์ ติระศิริชัย ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาร่วมวิเคราะห์ปรากฏการณ์ “ตื่นซิลเวอร์” และโอกาสในการลงทุนในตลาดอนุพันธ์
ปรากฏการณ์ "ตื่นซิลเวอร์" ที่เกิดขึ้นนี้ มีที่มาจากความโดดเด่นของโลหะเงินที่ทำผลงานได้ "ซิ่งกว่า" ทองคำอย่างชัดเจน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ราคาพุ่งทะยาน ทั้งจากมุมมองการเคลื่อนไหวของราคาที่ยังมีโอกาสไปต่อ และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากภาคอุตสาหกรรมยุคใหม่
ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ กล่าวว่า ราคาโลหะเงิน (Silver) มักจะปรับตัวตามพี่ใหญ่คือทองคำ ซึ่งในปีนี้ราคาทองคำทำราคาทะลุขึ้นมาอย่างรุนแรง โดย Silver ถูกเรียกว่าเป็นน้องเล็กที่ “ซิ่งกว่า” พี่ใหญ่ เพราะราคาขึ้นมาเกือบ 80% ในขณะที่ทองคำขึ้นมา 50%
ปัจจุบันจึงเกิดสภาวะที่เรียกว่า "ตื่นซิลเวอร์" ขึ้นมา นักลงทุนเริ่มหันมามองหาสินทรัพย์ที่ยังไม่ทำ All Time High ซึ่งเมื่อพิจารณาในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) พบว่าโลหะเงินเพิ่งจะมาทำ All Time High ในปีนี้เอง
ช่วงที่ผ่านมาทองคำนั้นทำระดับสูงสุดแทบทุกวัน ในขณะที่โลหะเงินเพิ่งจะขึ้นมาแตะระดับสูงสุดเดิมเท่านั้น จึงมีโอกาสที่โลหะเงินจะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีกมาก
ด้าน จักรพันธ์ ติระศิริชัย กล่าวเสริมว่า สาเหตุหนึ่งที่สำคัญในการผลักดันราคาโลหะเงิน คือภาคอุตสาหกรรมมีการใช้โลหะเงินเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น แผงโซลาร์เซลล์, รถยนต์ EV และแบตเตอรี่, รวมถึงชิปที่ใช้ใน AI
นอกจากความต้องการทางอุตสาหกรรมแล้ว ยังพบสัญญาณจากกองทุนขนาดใหญ่ โดยกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดของ Blackrock ชื่อ SLV (iShares Silver Trust) มีเงินไหลเข้าเฉพาะช่วงครึ่งปีแรกนี้ถึง 96 ล้านออนซ์ ซึ่งมากกว่าเงินที่ไหลเข้าทั้งปีของปีที่แล้วเสียอีก
การที่เงินไหลเข้ากองทุนจำนวนมหาศาลเช่นนี้ ทำให้กองทุนต้องไปซื้อโลหะเงินจริงมาเก็บไว้ ส่งผลให้ซัพพลายเริ่มไม่ค่อยพอและราคายิ่งปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาเห็นสัญญาณชัดเจนจากการที่คนไทยหันมาลงทุนในโลหะเงินมากขึ้น โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook หรือ TikTok ที่เริ่มมีคนพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อเงินแท่งเก็บ
แม้โลหะเงินมักจะถูกเปรียบเทียบกับทองคำ แต่ในเชิงโครงสร้างความต้องการแล้วกลับมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โลหะเงินอาจไม่ได้รับบทบาทเป็น "หลุมหลบภัย" (Safe Haven) หลักเช่นเดียวกับทอง แต่ก็มีคุณสมบัติเด่นในด้านอื่นที่ตอบโจทย์นักลงทุน และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเก็งกำไรทำกำไรในระยะสั้น
สำหรับโครงสร้างความต้องการของโลหะเงินนั้นแตกต่างจากทองคำอย่างมาก โดย ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ชี้ให้เห็นว่า ทองคำ มีเรื่องของการสะสมโดยธนาคารกลาง ทำให้ถือว่าเป็น "Safe Haven" แต่โลหะเงินนั้น อาจจะไม่ได้เป็น Safe Haven ขนาดนั้น และถือว่าเป็นหมวด Industrial Use หรือโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรมยุคใหม่
สาเหตุที่ทำให้ธนาคารกลางหรือธนาคารกลางทั่วโลกไม่ได้ซื้อเก็บโลหะเงิน เนื่องจาก Silver ยังมีราคาถูก และการจัดเก็บทำได้ลำบากกว่าทองคำมาก เพราะ Silver มีขนาดชิ้นที่ใหญ่กว่าและต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บมาก
ด้าน จักรพันธ์ ติระศิริชัย ให้มุมมองว่า โลหะเงินและทองคำมีคาแรคเตอร์ที่ใกล้เคียงกันคือสามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อได้ (Hedge) และเป็นของที่สามารถรักษามูลค่าได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ทองคำจะเก็บง่ายกว่าเพราะชิ้นเล็กกว่ามาก แต่นักลงทุนสามารถใช้ โลหะเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อในพอร์ตได้ นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับการเก็งกำไร (Trading) ในช่วงที่ราคาขึ้นมากๆ เพราะใช้เงินน้อยกว่า
และด้วยความที่โลหะเงินมีความผันผวนสูงกว่าทองคำมาก จึงเปิดโอกาสให้คนที่เป็นสายเทรดดิ้งสามารถเข้าออกและทำกำไรในช่วงสั้น ๆ ได้ดีกว่าทองคำ
เมื่อเห็นโอกาสที่น่าสนใจนี้ นักลงทุนมีทางเลือกในการเข้าถึงโลหะเงินหลายช่องทาง ท่ามกลางมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญว่าราคายังมีโอกาสไปต่อได้อีกไกล ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ เล่าว่าการลงทุนในโลหะเงิน ปัจจุบันสามารถทำได้ 2 ช่องทางหลัก ได้แก่
1. การซื้อโลหะเงินแท่ง - ปัจจุบันได้รับความนิยมสูงมากจนของขาดตลาด แต่ต้องพึงระวังว่าการซื้อเม็ดเงินหรือโลหะเงินแท่ง จะต้องมีการจ่ายภาษี VAT 7% เหมือนกับการซื้อสินค้าทั่วไป นั่นหมายความว่า นักลงทุนจะต้องรอให้ราคา Silver ขึ้นไปเกิน 7% ถึงจะเริ่มทำกำไรได้
2. Silver Futures ใน TFEX - เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมา 3 ปีแล้ว และเหมาะกับการลงทุนหรือเก็งกำไร ข้อดีที่สำคัญ คือ การซื้อขายใน TFEX ไม่มี VAT และกำไรจากการซื้อขายก็ไม่ต้องเสียภาษี
อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้ใช้ Leverage หรือ Gearing สูง และ Silver เป็นสินทรัพย์ที่ผันผวนกว่าทองคำถึง 2 เท่า (หากทองขึ้น 1, Silver จะขึ้น 2 และหากทองลง 1, Silver ก็จะลง 2) ตลาดเปิดยาวนานตั้งแต่เช้าจนถึงตี 3 จึงเทรดได้ทั้งคืน
*Leverage/Gearing คือ อัตราทดช่วยเพิ่มอำนาจซื้อให้สูงขึ้น โดยไม่ต้องวางเงินเต็มจำนวน
จักรพันธ์ ติระศิริชัย ชี้ว่า ผลิตภัณฑ์ Silver Futures ใน TFEX มีการเติบโตของปริมาณการซื้อขายสูงมาก จากปีที่แล้วที่ซื้อขายกันเฉลี่ยวันละ 650 สัญญา (มูลค่า 100 ล้านบาท) ล่าสุดในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ ได้เพิ่มขึ้นมาเฉลี่ยถึง 7,000 สัญญาต่อวัน (มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาทต่อวัน) สิ่งนี้ทำให้การลงทุนมีสภาพคล่องสูง ซื้อง่ายขายคล่องมากขึ้น
ซึ่งมองว่ามีความน่าสนใจเนื่องจาก
อย่างไรก็ดี ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ชี้ว่า ในปีนี้ทองคำทำ All-Time High ไปประมาณ 50 รอบ แต่โลหะเงินเพิ่งทำ All-Time High ไปเพียง 5 ครั้ง นั่นหมายความว่า ศักยภาพในการขึ้นต่อมีเยอะกว่าทองคำมาก
โดยมีโอกาสสูงมากที่จะขึ้นไปถึงระดับ 64−70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหมายถึงการปรับตัวขึ้นอีก 20-40% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาขึ้นมาเยอะมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่เดือนสิงหาคม) จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปรับฐานได้
นักลงทุนที่สนใจจึงอาจรอจังหวะการปรับฐานเพื่อทยอยซื้อได้ สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ การลงทุนในโลหะเงินนั้น "ซิ่งกว่า" ทองคำ ดังนั้นต้องมีการวางเงินเผื่อไว้เพื่อบริหารความเสี่ยง
การลงทุนใน TFEX ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น "สายซิ่ง" เนื่องจากมีอัตราทด (Leverage) ที่สูง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความผันผวนและความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ชี้ว่าตลาด TFEX เป็นตลาดที่ใช้ Gearing หรือ Leverage สูง จึง ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความผันผวน สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาใช้ Leverage เพื่อทำกำไรที่สูงขึ้น จำเป็นต้องศึกษาและบริหารจัดการ 3 เรื่องหลัก
จักรพันธ์ ติระศิริชัย กล่าวเสริมว่า สินทรัพย์ใน TFEX ถือเป็น "สายซิ่ง" นักลงทุนมือใหม่ต้องเข้าใจว่าเงินที่วางไว้เป็นเพียง "เงินมัดจำ" (Margin) ไม่ใช่เงินลงทุนทั้งหมด การบริหารจัดการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยแนะนำนักลงทุนว่าควรวางเงินหลักประกันให้สูงกว่าขั้นต่ำที่กำหนดท เพื่อที่ว่าหากเทรดผิดทาง จะยังมีโอกาสแก้ตัวได้ และผู้ลงทุนไม่ควร All in ทีเดียว
อย่างไรก็ตาม นอกจาก Silver Futures แล้ว ตลาด TFEX ยังมีผลิตภัณฑ์อนุพันธ์สกุลเงิน (Forex Futures) ที่ได้รับความนิยม โดยมีสกุลเงินหลัก 5 คู่ ได้แก่ USD/THB, EUR/THB, JPY/THB, EUR/USD และ USD/JPY
นอกจากนี้ TFEX ยังมี Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ที่น่าเชื่อถือ ทำให้มั่นใจได้ว่าราคาที่ซื้อขายมีความถูกต้อง ไม่มีการลากราคาขึ้นลงแปลก ๆ เหมือนที่อาจเกิดขึ้นในแพลตฟอร์มอื่น
ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ใน TFEX ถือเป็นทางเลือกที่ถูกต้องตามกฎหมายให้กับนักลงทุน เงินที่โอนเข้า-ออก เป็นเงินบาททั้งหมด ไม่ต้องไปแลกเป็นดอลลาร์หรือคริปโตให้วุ่นวาย
นักลงทุนสามารถเข้าซื้อขายและทำกำไรขาดทุนเป็นเงินบาท โดยไม่เสียภาษีใด ๆ ทั้งหมดนี้เป็นความพยายามของตลาดหลักทรัพย์ในการมอบทางเลือกที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ให้กับนักลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูก “โบรกเกอร์เถื่อน” หลอกลวงด้วย
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้