
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดแนวทางสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ประกาศเดินหน้าจัดการปัญหาการทุจริต โดยเน้นย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการ แก้กฎหมายตั้งเป้าลดระยะเวลาการดำเนินคดีฉ้อฉลในตลาดทุน ให้เหลือเพียง 1 ปี
โดยกุญแจสำคัญคือการ "ติดอาวุธ" ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผ่านการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้มีอำนาจในการสอบสวนที่รวดเร็วขึ้น การยึดอายัดทรัพย์สิน และอำนาจในการฟ้องร้องคดีเอง
พร้อมมีแนวคิดสนับสนุนให้เพิ่มอัตราโทษปรับในคดีแพ่งให้สูงขึ้น เพื่อสกัดผู้กระทำผิดที่ยอมจ่ายค่าปรับเพื่อกลับมากระทำผิดซ้ำ โดยเชื่อว่าการแก้ไขกฎหมายที่กำลังผลักดันนี้จะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้
สถานการณ์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุนไทยกำลังถูกสั่นคลอน จากการเข้ามาแสวงหาประโยชน์ของกลุ่มคนที่มุ่งเน้นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ซึ่งบั่นทอนความน่าเชื่อถือของตลาด
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ปัจจุบันการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในตลาดทุน โดยสามารถแบ่งพฤติกรรมการโกงหุ้นหลักๆ ได้ 3 รูปแบบ ได้แก่
ซึ่งขั้นตอนการกำกับดูแลเมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำหน้าที่เป็นด่านหน้า คอยติดตามภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ และการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน
หาก ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตรวจสอบในเบื้องต้นแล้วพบว่ามีมูลในการกระทำความผิด ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่ง ก.ล.ต. จะทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล ในการพิจารณาความผิดและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงแนวทางในการสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดทุนไทย โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งรัดกระบวนการบังคับใช้กฎหมายและการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อจัดการปัญหาการทุจริตในตลาดทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ตั้งแต่ ตลท., ก.ล.ต., ปปง., ตำรวจ, อัยการ ไปจนถึงศาล
ปัจจุบัน คดีการฉ้อฉลในตลาดทุนใช้เวลาค่อนข้างยาวนานถึง 2 ปีครึ่ง ถึง 3 ปี กว่าคดีจะถึงที่สุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเป้าหมายที่จะลดระยะเวลาการดำเนินคดีลงให้เหลือเพียง 12 เดือน หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ปี
ปัญหาความล่าช้าส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในชั้นสอบสวน ซึ่งจำเป็นต้องรอการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ ก.ล.ต. มีอำนาจสอบสวนได้รวดเร็วขึ้น เพื่อลดขั้นตอนดังกล่าว พร้อมกันนี้ ยังรวมถึงการให้อำนาจเบื้องต้นกับ ก.ล.ต. ด้วย
เช่น การยึดอายัดทรัพย์สินโดยความร่วมมือกับ ปปง. และ DSI และการให้อำนาจหน่วยงาน ก.ล.ต. ให้สามารถฟ้องร้องเองได้ ซึ่งหากทำได้เชื่อว่าจะช่วยสร้างความเกรงกลัวต่อผู้กระทำความผิด
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องโทษปรับในคดีแพ่งที่อาจเบาเกินไป ทำให้ผู้กระทำผิดยอมจ่ายค่าปรับแม้จะโดนดำเนินคดีซ้ำ ประธานกรรมการ ตลท. เห็นว่า อาจจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนเงินค่าปรับให้สูงขึ้น และที่สำคัญคือต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ ก.ล.ต. มีอำนาจถอดถอนกรรมการหรือผู้บริหารที่กระทำความผิดออกจากตลาดทุนได้โดยตรง
สำหรับการแก้ไขกฎหมายนั้น เชื่อว่าจะมีความชัดเจนได้ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากมีการกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งหลังเปลี่ยนรัฐบาล โดยการแก้ไขกฎหมายที่ผลักดันอยู่นี้ครอบคลุมเรื่องที่ช่วยนักลงทุนได้มาก เช่น อำนาจฟ้องเองของผู้ลงทุน, ความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชี และเรื่องการเปิดเผยข้อมูลการจำนำหุ้น เป็นต้น
นอกจากมาตรการทางกฎหมายแล้ว ตลาดทุนยังให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจและความเข้มแข็งทางองค์ความรู้ให้กับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังดำเนินการสร้างสถาบันและจัดการอบรมผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ช่วยเพิ่มองค์ความรู้ให้แก่พนักงานสอบสวนและหน่วยงานยุติธรรมได้
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้