
ถ้าจะพูดถึงหุ้นที่ร้อนแรงและมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดในตอนนี้ คงหนีไม่พ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น DELTA ที่ทุกคนรู้จักกันดี
บ่อยครั้งที่ดัชนี SET บ้านเราจะบวกหรือลบแรงๆ ก็มีพี่ใหญ่คนนี้เป็นตัวแปรสำคัญ จนนักลงทุนหลายคนถึงกับแซวกันขำๆ ว่านี่เรากำลังดู "ดัชนี SET" หรือ "ดัชนี DELTA" กันแน่ ?
แม้ราคาหุ้นวิ่งทำสถิติใหม่ไม่หยุดหย่อน ใครที่ถืออยู่ก็กำไรมหาศาล แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในโครงสร้าง ยังมีคำถามว่าทั้งการกระจายหุ้นให้รายย่อย (Free Float) ที่มีอยู่น้อยนิด และสัดส่วนการถือครองของต่างชาติที่สูงเกือบทั้งบริษัท เป็นที่น่ากังวลหรือไม่
อย่างไรก็ดี แม้บริษัทจะสามารถมีผลประกอบการเติบโต สอดคล้องไปกับเทรนด์ระดับโลกอย่าง AI และดาต้าเซ็นเตอร์ แต่นักลงทุนก็ต้องมาชั่งน้ำหนักว่าท่ามกลางปัจจัยต่างๆ นี่คือโอกาสการลงทุนหรือกำลังเป็นความเสี่ยง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าใครที่ถือหุ้น DELTA ติดพอร์ตไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคงจะยิ้มแก้มปริกันถ้วนหน้า เพราะราคาวิ่งทำ All-time high ไปเรียบร้อย และถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลัง ก็ต้องบอกว่าน่าสนใจจริงๆ
(ข้อมูลผลตอบแทน ณ ราคาปิดวันที่ 7 ต.ค.68)
เรียกว่าตอนนี้แทบไม่มีใครขาดทุนจากหุ้นตัวนี้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่าพอหุ้นวิ่งแรงขนาดนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องมีถามไถ่ไปตามระเบียบ แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็เป็นเหมือนหนังม้วนเดิมที่ว่า "บริษัทยังไม่มีพัฒนาการใดที่สำคัญที่ยังไม่ได้เปิดเผย" แบบที่นักลงทุนคุ้นเคยกันดี
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือแม้จะเป็นหุ้นมหาชน แต่การกระจายหุ้นให้รายย่อย หรือ %Free Float อยู่ที่เพียง 23.57% เท่านั้น หมายความว่าหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่ง 10 อันดับแรกถือรวมกันสูงถึง 93.92% เลยทีเดียว
หากเจาะลึกลงไปจะพบว่า DELTA เป็นหุ้นที่ “ต่างชาติ” ถือมากที่สุด โดยมีสัดส่วนถึง 92.62% และหุ้นมากกว่าครึ่งอยู่ในมือบริษัทในกลุ่มอย่าง DELTA ELECTRONICS INT'L (SINGAPORE) PTE. LTD. และ DELTA INTERNATIONAL HOLDING LIMITED B.V.
นอกจากนี้ หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกตคือ กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง ที่ติดอันดับ 9 ถือหุ้นอยู่ถึง 111,172,800 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.89% ถ้าตีเป็นมูลค่า ณ ราคาปัจจุบัน จะสูงถึง 2.1 หมื่นล้านบาท
(ข้อมูลมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาปิดวันที่ 7 ต.ค.68)
เริ่มจากฝั่งที่มองภาพกว้างอย่าง บล.ทรีนิตี้ ที่ชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ที่หุ้น DELTA เพียงตัวเดียว แบกดัชนีตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดไว้ โดย SET Index ปรับตัวขึ้นหลังได้แรงหนุนในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่
อย่างเมื่อวานนี้ เฉพาะตัว DELTA ตัวเดียว ผลักดันดัชนี SET 11 จุด หรือ คิดเป็นผลกระทบเกินครึ่งหนึ่งของดัชนีที่ปรับขึ้น โดยหากนับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา ดัชนี SET50/SET100 มีการปรับน้ำหนัก Cap weight ล่าสุดเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น พบว่าตัวหุ้นดังกล่าวปรับขึ้นมาแล้วกว่า 20% และส่งผลบวกต่อดัชนี SET ถึง 31 จุด ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับที่ดัชนีขึ้นมา
หรือพูดง่ายๆ ก็คือว่าการขึ้นมาของดัชนี SET ในเดือนนี้ เกิดจากอิทธิพลของหุ้น DELTA เพียงตัวเดียว มองปรากฏการณ์การขึ้นของดัชนีแบบกระจุกตัว มากขึ้นนี้ (Concentrate) เป็นการสะท้อนถึงความเปราะบางของดัชนีที่มากขึ้นไปในตัว และถือเป็นสิ่งที่อาจต้องเฝ้าระวังมากขึ้นในช่วงถัดไป
แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเราหันมาดูมุมมองที่เจาะลึกไปที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจาก บล.เอเซีย พลัส ก็จะเห็นคำตอบว่าทำไม DELTA ถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ หัวใจสำคัญมาจากแนวโน้มกำไรที่คาดว่าจะออกมาดี และยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์และเทรนด์ AI ที่มาแรงทั่วโลก
แม้จะมีเรื่องท้าทายด้านค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นบ้าง แต่ภาพรวมยังคงแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้ บล.เอเซีย พลัส จึงได้อัปเกรดคำแนะนำเป็น "Neutral" (ถือ) และมองว่าถึงแม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะสูงกว่าราคาเป้าหมายที่ 175.00 บาทไปแล้ว แต่ด้วยสตอรี่การเติบโตที่ชัดเจน ทำให้ยังสามารถเก็งกำไรระยะสั้นได้ โดยมีเหตุผลสนับสนุน คือ
ดังนั้น ภาพของ DELTA ตอนนี้จึงเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งคือความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยที่พึ่งพาหุ้นตัวเดียวมากเกินไป แต่อีกด้านหนึ่งก็คือพื้นฐานของบริษัทที่แข็งแกร่งและอยู่ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
การบ้านของนักลงทุนก็คือต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงของภาพรวม กับโอกาสการเติบโตของตัวหุ้นเองให้ดี…
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้