
ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีสีสันและความคึกคักกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนมาสักพักใหญ่ ตอนนี้สัญญาณบวกเริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากปัจจัยในประเทศที่การเมืองเริ่มนิ่ง และมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาให้เห็น ไปจนถึงปัจจัยนอกประเทศอย่างทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ดูเหมือนจะเป็นใจให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น
ในขณะที่เรากำลังตื่นเต้นกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ คำถามสำคัญที่ยังคงอยู่ในใจของหลายๆ คนก็คือแล้วเงินลงทุนจากต่างชาติ หรือ Fund Flow จะกลับมาจริงๆ เมื่อไหร่?
Thairath Money พาเจาะลึกทุกประเด็นสำคัญไปพร้อมๆ กัน ตั้งแต่สัญญาณบวกที่ทำให้เราใจชื้น สิ่งที่ต่างชาติกำลังรอคอย ความเสี่ยงที่ต้องจับตา ไปจนถึงแผนการยกเครื่องตลาดหุ้นไทยในอนาคต
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการดึงดูดเงินลงทุน
สถานการณ์การเมืองไทยมีความชัดเจนมากขึ้น โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ถูกมองว่าเป็นมืออาชีพ และเริ่มทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการ "คนละครึ่ง" ที่ได้ประกาศออกมาแล้ว
ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค แม้ยังไม่ถึงช่วงที่เงินลงสู่ระบบ แต่ผลจาก "ข่าว" ก็ช่วยในแง่ของความคาดหวังได้แล้ว
นอกจากนี้ การที่สหรัฐอเมริกาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเป็นครั้งแรก ถือเป็นสัญญาณที่ดี แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องหรือไม่ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เงินทุนมีแนวโน้มไหลเข้ามามากขึ้น
อย่างไรก็ดี หากดูในแง่ของความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย พบว่า การจ่ายเงินปันผล (Dividend) ยังคงเข้มแข็ง และหลายบริษัทมีนโยบายปันผลที่ชัดเจนมากขึ้น
ในด้านของปริมาณการซื้อขาย (Volume) แม้จะยังน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว ถือว่าพุ่งขึ้นค่อนข้างสูง นอกจากนี้ แรงขายจากกองทุน LTF ที่เคยค้างอยู่มากก็ได้ลดลงมากแล้ว ตั้งแต่ในช่วงสิงหาคมถึงกันยายน
สำหรับกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) นั้น ได้มีการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน พบว่าต่างยังคงติดตามและให้ความสนใจประเทศไทยอย่างใกล้ชิด โดยมีการใช้คำว่า "อย่างไรก็ต้องมองประเทศไทย"
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังมีการจับตามองอยู่ แต่เงินลงทุนจริงอาจจะยังไม่ไหลเข้า โดยพวกเขา รอให้ "สตอรี่ของไทย" มีความชัดเจน ก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน ซึ่งจุดแข็งหลักของตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติให้ความสนใจคือหุ้นปันผล หรือ Dividend Play
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เพิ่มการให้ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงการนำ AI เข้ามาช่วย เพื่อให้ข้อมูลต่างๆ กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี ดร.ศรพล ได้เน้นย้ำว่า "ไม่อยากให้ใช้ Fund Flow เป็น Indicator ของคุณภาพตลาด"
โดยระบุว่าต้องดูภาพระยะยาวของประเทศเป็นหลัก เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยพื้นฐาน และคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน เพราะกระแสเงินทุน หรือ Fund Flow นั้นเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
เช่น อัตราแลกเปลี่ยน และภาวะของสินทรัพย์เพื่อการลงทุนอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้กระแสเงินอาจไหลออกไปได้ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ดังนั้น การตัดสินคุณภาพตลาดจาก Fund Flow เพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่ใช่ภาพที่สมบูรณ์
ดร.ศรพล ชี้ว่า ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม และอาจเป็นความเสี่ยงต่อภาพการลงทุนในอนาคต คือ
1. นโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
2. ความเสี่ยงค่าเงินบาท
3. หนี้ครัวเรือน
ทั้งนี้ ดร.ศรพล ระบุเพิ่มเติมว่า กรณีการปิดหน่วยงานราชการของสหรัฐฯ หรือ Government Shutdown นั้น มีผลกระทบต่อตลาดทุนไทยน้อยมาก เนื่องจากเป็นกลไกที่เฉพาะเจาะจงกับประเทศสหรัฐฯ เอง
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลท. เปิดเผยถึงแนวคิดในการเปลี่ยนโฉมหน้าดัชนี SET50 โดยชี้ว่า การดำเนินการนี้ ต้องเริ่มต้นจากการพัฒนาบริษัทที่อยู่ใน LiveX หรือบริษัทที่ระดมทุนในประเทศก่อน ซึ่งเป็นแนวทางที่ต้องยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลา และผลลัพธ์อาจไม่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนภายในปีหน้า
อย่างไรก็ดี การดึงดูดบริษัทต่างประเทศ หรือบริษัทในกลุ่ม New Economy ขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนนั้น ยังคงเป็นความท้าทาย ผู้บริหาร ตลท. ตั้งข้อสังเกตว่า โครงสร้างของตลาดทุนไทยจะมีความพร้อมหรือไม่ และการประเมินมูลค่า (valuation) ที่ตลาดไทยให้นั้น จะสามารถดึงดูดบริษัทเหล่านี้ได้เทียบเท่ากับตลาดต่างประเทศหรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีของบริษัทขนาดใหญ่อย่าง DELTA เข้าข่ายนี้หรือไม่ อัสสเดช ระบุว่า หากดูในความเป็นจริงแล้ว บริษัทนี้อาจไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีระดับสูง แม้ว่าบริษัทจะได้รับอานิสงส์จากการเป็นผู้ผลิตในซัพพลายเชนก็ตาม
ผู้บริหาร ตลท. ได้กล่าวเตือนนักลงทุนให้พิจารณาราคาของหุ้นอย่างรอบคอบ เนื่องจากต้องยอมรับว่า Free Float ที่แท้จริงของบริษัทดังกล่าวมีน้อยมาก จึงอาจมีคำถามว่าปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันจะสามารถพิสูจน์หรือรองรับราคานี้ได้จริงหรือไม่
ในด้านการดูแลตลาด อัสสเดช กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้นำเรื่อง SET50 Capped Weight เข้ามาใช้แล้ว ซึ่งหวังว่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากกองทุนต่าง ๆ ต้องเริ่มใช้ดัชนีนี้ อย่างไรก็ตาม การซื้อขายต้องเป็นไปตามกลไกของตลาด
หน้าที่หลักของตลาดหลักทรัพย์ คือการคอยเฝ้าระวังการซื้อขายที่ผิดปกติ เพื่อให้คอยเตือนนักลงทุน นอกจากนี้ อัสสเดช ได้กล่าวถึงการดำเนินการของบริษัทดังกล่าวว่ามีความขยันในการออกมาสื่อสาร โดยประกาศว่าราคาที่ขยับขึ้นมานั้น ไม่ได้มีข่าวสารที่ตลาดไม่ทราบ หรือไม่มีการพัฒนาใด ๆ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้