
ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง เปรียบเสมือนสวรรค์ของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือสูง (Investment Grade) ซึ่งต่างใช้จังหวะทองนี้ในการเร่งระดมทุนเพื่อล็อกต้นทุนทางการเงิน “ดอกเบี้ยต่ำ” ไปได้อีกนานหลายปี
แต่ในอีกมุมหนึ่ง กลุ่มหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูงแต่มีความเสี่ยงสูง (High Yield) กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สะท้อนผ่านตัวเลขการผิดนัดชำระหนี้และขอเลื่อนกำหนดชำระที่สูงขึ้น
ภาวะดังกล่าวจึงบีบให้นักลงทุนต้อง "เลือกให้ดี" ยิ่งกว่าที่เคย ระหว่างการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนน้อยลง กับการไล่ล่าผลตอบแทนสูงที่มาพร้อมความเสี่ยงต่อเงินต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยผลสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 2568 กนง.จะปรับอัตราดอกเบี่ยนโยบาย ราว 1-2 ครั้ง รวม 0.25-0.50% เหลือ 1.00-1.25% จากปัจจุบันท่ี 1.50%
ทั้งนี้ ในวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะมีการประชุม กนง. นั้น จากผลสำรวจมีผู้ตอบ 45% มองว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง 0.25% เหลือ 1.25% ขณะที่ผู้ตอบอีก 55% มองว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% อย่างไรก็ดี ในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่าดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลงเหลือ 1.00-1.25% ได้
สำหรับการคาดการณ์ Bond yield ไทย ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า ปลายปี 2568 Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะขยับตัวลดลงเฉลี่ยราว 10-15 bps. จากสิ้นไตรมาส 3 โดยมีปัจจัยหลักจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย และแผนการระดมทุนของภาครัฐ
สำหรับฝั่งของตลาดหุ้นกู้ภาคเอกชน กลับพบสัญญาณที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (Investment Grade) และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงแต่ก็มีความเสี่ยงสูง (High Yield)
ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเป็นแนวโน้มขาลง ส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสถานะการเงินแข็งแกร่งต่างเร่งระดมทุนเพื่อล็อกต้นทุนทางการเงินในระดับต่ำ บางรายอาจไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมก่อนกำหนดเพื่อรอจังหวะออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในกลุ่มหุ้นกู้ High Yield ยังคงน่าเป็นห่วง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ พบการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
โดยกลุ่ม High Yield ยังคงมีปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ และผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ดีขึ้น ปัญหาการผิดนัดหรือยืดหนี้ก็น่าจะค่อยๆ ลดลง
ดร.สมจินต์ ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ในปัจจุบันถือเป็นผลที่สอดคล้องกับสภาวะการลงทุนทางเลือกที่มีอยู่ในตลาด โดยเฉพาะในยามที่สภาพเศรษฐกิจยังไม่ได้เติบโตดีมากนัก
การที่อัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้ปรับตัวลดลงนั้น เป็นผลพวงจากที่ผู้ลงทุนได้เข้าสู่กลุ่มตราสารหนี้ที่มีคุณภาพเครดิตสูงในปริมาณที่มากขึ้น เนื่องจากในสภาวะที่อุปทานของหุ้นกู้โดยรวมมีไม่มากพอ ทำให้เม็ดเงินมาเบียดกันในกลุ่ม High Quality ในทางกลับกัน ตราสารหนี้ที่มีเครดิตเรตติ้งต่ำลงมา หรือต่ำกว่าระดับที่ไม่มีการจัดอันดับ จะเริ่มขายได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ดี แนวโน้มของผู้ลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เพิ่มความระมัดระวัง และเลือกที่จะตัดสินใจลงทุนมากขึ้น ถือเป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่เหมาะสมกับช่วงเวลานี้ และถือเป็นผลของสภาพของตลาดโดยรวม
ทั้งนี้ การที่ผู้ลงทุนในตลาดพันธบัตรมีความระมัดระวังมากขึ้นในการลงทุนนั้น เป็นพัฒนาการที่เหมาะสม โดยในยุคที่เศรษฐกิจยังไม่เติบโตเต็มที่เช่นนี้ หลักการพื้นฐานของการลงทุนที่สำคัญที่สุดคือ การดูแลรักษาเงินต้นไว้ ควบคู่ไปกับการได้รับผลตอบแทนที่อาจจะ "ไม่มากนัก" แต่ต้องอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนสามารถรับได้ และการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมก็ยังคงเป็นหลักพื้นฐานสำคัญของการลงทุน
นอกจากนี้ ยืนยันว่าการปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือ (Negative Outlook) ของประเทศไทยโดยสถาบันจัดอันดับเครดิต ยังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดตราสารหนี้
โดย ดร.สมจินต์ กล่าวว่า แม้จะมีการปรับแนวโน้มเป็นลบ แต่มองว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ในทันที อย่างไรก็ตาม การปรับ Outlook ครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกฝ่ายตระหนักและเพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับวินัยทางการคลังมากขึ้น
ทั้งนี้ จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยคือ การพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศในระดับที่ต่ำมาก โดยข้อมูลระบุว่าหนี้สาธารณะที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศมีสัดส่วนเพียง 0.68% ของหนี้ภาครัฐทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 นักลงทุนต่างชาติมีการถือครองตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ประมาณ 8.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย ซึ่งไม่ได้เป็นสัดส่วนที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดของตลาดทั้งหมด
นอกจากนี้ ลักษณะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติกลุ่มนี้ไม่ใช่ Short-Term Money ที่ไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการลงทุนระยะยาว โดยส่วนใหญ่มีอายุตราสารหนี้เฉลี่ยที่ถือครองยาวนานกว่า 10 ปี จึงยังไม่พบสัญญาณการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่ผิดปกติหรือน่ากังวล
สำหรับมูลค่าตลาดตราสารหนี้ไทยไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 17.7 ล้านล้านบาท (คิดเป็น 95% ของ GDP) เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีที่แล้ว เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ภาครัฐเป็นหลัก ในขณะที่มูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ผ่านมา จากหุ้นกู้การบินไทยที่ปีก่อนยังมีสถานะคงค้าง แต่วันนี้ออกจากแผนฟื้นฟูแล้ว
ขณะที่การออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวลดลง 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) เท่ากับ 640,002 ล้านบาท ลดลง 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นอัตราการปรับลดลงที่ต่ำกว่าเมื่อตอนไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จากการที่ผู้ออกในกลุ่ม Investment grade เพิ่มการออกขึ้นมากในไตรมาส 3
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 29,038 ล้านบาท ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 โดยเป็นการซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยในไตรมาส 1 และ 2 จำนวน 32,329 ล้านบาท รวมกับการขายสุทธิ 3,291 ล้านบาทในไตรมาส 3
อย่างไรก็ดี ยังคงเป้าหมายการออกหุ้นกู้ทั้งปีตั้งไว้ที่ 8 แสนล้านบาท ซึ่งผ่านมา 3 ไตรมาส (9 เดือน) ทำไปได้แล้ว 6.4 แสนล้านบาท สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี คาดว่าตลาดจะยังคงคึกคัก เพราะจะมีหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดมูลค่าอีก 2.18 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการออกหุ้นกู้ใหม่มาทดแทน (Rollover) และคาดว่าจะมีการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ใหม่อีกด้วย
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้