
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจไม่น้อย เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าบวกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown หรือการปิดทำการชั่วคราวแล้วก็ตาม
โดยมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นพระเอก ที่นำทัพทะยานขึ้น อย่าง Nvidia เจ้าเก่าที่ราคาขึ้นไปทำสถิติใหม่สูงสุดอีกครั้ง ท่ามกลางความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางสำนักเริ่มส่งสัญญาณเตือน โดยชี้ว่ายังมีความเสี่ยงซ่อนอยู่จากการใช้ Leverage หรือการกู้ยืมเพื่อลงทุนที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนภาวะการเก็งกำไรที่สูงในตลาด นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่อาจร้อนแรงเกินไป
ภาวะ Government Shutdown ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 หลังจากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้ทันเวลา ส่งผลให้การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญอย่าง ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงาน อาจต้องล่าช้าออกไป
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่านักลงทุนจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัจจัยนี้มากนัก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในอดีตที่ชี้ว่า Government Shutdown มักส่งผลกระทบต่อตลาดในระยะสั้นและจำกัด ตลาดจึงเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปยังปัจจัยอื่นที่มีน้ำหนักมากกว่า
แรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดในรอบนี้มาจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +0.06% และ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.39% และ Dow Jones เพิ่มขึ้น +0.17%
โดย ได้แรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia, Apple และ Broadcom ซึ่ง NVIDIA ปรับตัวขึ้นสูงสุด 191.05 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ทำ All-Time High อีกครั้ง
ปัจจัยบวกสำคัญล่าสุด มาจากข่าวที่ OpenAI ประกาศโปรเจกต์ "Stargate" ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่ามหาศาล และได้จับมือกับบริษัทเทคโนโลยีในเกาหลีใต้ ยิ่งโหมกระแสความเชื่อมั่นให้กับหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม มีหุ้นบางตัวที่เคลื่อนไหวสวนทาง เช่น Tesla (TSLA) ที่ปรับตัวลดลง -5.11% ปิดที่ระดับ 436.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือความคาดหวังว่าเฟดจะผ่อนคลายนโยบายการเงินในเร็วๆ นี้ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง
โดย นักวิเคราะห์ฯ บล.พาย ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่สนใจ Government Shutdown เท่าใดนัก ขณะที่การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Bond Yield) ที่ชะลอตัวลง สะท้อนความคาดหวังเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งเปิดทางให้เฟดสามารถลดดอกเบี้ยได้
ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch Tool ซึ่งเป็นเครื่องมือสะท้อนมุมมองของตลาด ชี้ว่ามีโอกาสเกือบ 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของตลาดในประเด็นดังกล่าว
ขณะที่ บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้ง S&P500, Nasdaq Composite และ Dow Jones จากแรงหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นทั้ง Nvidia, Apple และ Broadcom แต่นักลงทุนยังคงจับตาดูข้อมูลตลาดแรงงานภาคเอกชน และการปิดทำการบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐฯ ในวันที่สอง ว่าจะมีผลกระทบหรือไม่
ด้าน ฝ่ายวิจัยฯ บล.เอเซียพลัส ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะทำ All-Time High แต่ "ระดับการขึ้นเริ่มช้าลง" เมื่อเทียบกับการใช้ Leverage (การก่อหนี้เพื่อลงทุน) ที่อยู่ในระดับสูงมาก
โดยระดับการกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.06 ล้านล้านเหรียญ และอัตราส่วน Put/Call Ratio เฉลี่ยต่ำกว่า 0.5 ตลอด 3 เดือน ซึ่งระดับที่ต่ำ กว่า 0.7 แสดงให้เห็นว่านักลงทุนคาดหวังว่าตลาดจะขึ้นได้ร้อนแรงกว่าปกติ และยังเริ่มเห็นสัญญาณสภาพคล่องที่สลับการลงทุนเข้ามาในฝั่งตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ความคาดหวังปรับลดดอกเบี้ยของเฟดที่เหลืออีก 2 ครั้งในปี้นี้ ดูชัดเจนขึ้น จาก ความกังวล Government Shutdown ในสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่วันที่ 2 ซึ่งกรณีที่สถานการณ์ลากยาว อาจส่งผลกระทบต่อภาครวมเศรษฐกิจ ตลอดจนการจ้างงาน รวมถึงการประกาศตัวเลขสำคัญต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่ข้อมูลมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน
แม้ปัจจัยอย่าง Government Shutdown จะไม่สามารถหยุดความร้อนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ แต่นักลงทุนก็ควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และจับตาดูผลกระทบหลังจากนี้อย่างใกล้ชิด ขณะที่สัญญาณเตือนจากระดับ Leverage ที่สูงเป็นประวัติการณ์นี้ ก็อาจเป็นความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางภาวะกระทิงเช่นกัน
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้