
ผลสำรวจจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ชี้ว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นในตลาดหุ้นไทย โดยให้น้ำหนักกับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งอัตราดอกเบี้ยขาลงที่ชัดเจนขึ้น ความคาดหวังการเลือกตั้งในปีหน้า รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น
ส่วนประเด็นความกังวลกรณีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) ของประเทศไทย นักวิเคราะห์ฯ จาก บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่าเป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยาในระยะสั้นเท่านั้น และเชื่อว่าในระยะยาวต้องมองถึงปัจจัยพื้นฐานและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า
ในทำนองเดียวกัน ประเด็น Government Shutdown ของสหรัฐฯ ก็ถูกมองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก โดยอ้างอิงข้อมูลสถิติในอดีตที่ชี้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เองมักไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบด้วยซ้ำ
สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน (IAA Consensus) โดยระบุว่า นักวิเคราะห์มีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย
โดยนักวิเคราะห์ให้น้ำหนักกับปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่
สำหรับปัจจัยลบที่น่ากังวลลดน้อยลง โดยมีเพียง 2-3 ปัจจัยที่นักวิเคราะห์เกินครึ่งมองว่าเป็นลบ ได้แก่ การเมืองระหว่างประเทศ (55%), การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก (52%) และภาวะเศรษฐกิจโลก (52%)
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้เป็น 2.03% จากเดิม 1.87% และคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 85.14 บาทต่อหุ้น เติบโตประมาณ 9% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 90.67 บาทต่อหุ้นในปี 2569
สำหรับเป้าหมายดัชนี SET Index คาดว่าดัชนี ณ สิ้นปี 2568 จะปิดที่ 1,313 จุด และปี 2569 ที่ 1,415 จุด โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวในไตรมาส 4/68 ไว้ที่ 1,234-1,366 จุด
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะ "หุ้นไทย" ซึ่งปรับเพิ่มน้ำหนักจาก 19% ในการสำรวจครั้งก่อน มาอยู่ที่เกือบ 27% ใกล้เคียงกับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมน่าสนใจ ได้แก่ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, โรงไฟฟ้า, ท่องเที่ยว และการแพทย์ ส่วนกลุ่มที่แนะนำให้ "ลดน้ำหนัก" คือ กลุ่มส่งออก และปิโตรเคมี ซึ่งหุ้นที่ได้รับความสนใจและมีนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันหลายสำนัก ได้แก่ ADVANC, CPALL, CPEXT, MTC, และ PTTEP
ด้าน ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวเสริมว่า ตลาดหุ้นไทยมีมุมมองที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากมีการปลดล็อกในหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้นหลังได้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ รวมถึงความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ส่งผลให้ บล.ฟิลลิป ได้ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ของไทยในปีนี้จาก 1.7% เป็น 2.2%
นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นก็เป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุน แม้จะมีการปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวลงมาอยู่ที่ประมาณ 33.5 ล้านคน แต่ภาพรวมยังถือว่าดีขึ้น
ในด้านความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย พบว่า ผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจที่ประมาณ 3.8% โดยผลตอบแทนส่วนต่างเมื่อเทียบกับพันธบัตรอยู่ที่ประมาณ 5.7-5.8% ขณะที่ในเชิงมูลค่าพบว่าตลาดยังคงซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
สำหรับปัจจัยที่น่าจับตาในปีหน้า คือ การเลือกตั้ง ซึ่งตามสถิติแล้วตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้น โดยข้อมูลในอดีตชี้ว่าดัชนี SET มักจะตอบรับเชิงบวกอย่างชัดเจนในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง และหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มธนาคาร, การเงิน, พลังงาน และเทคโนโลยีสารสนเทศ มักจะปรับตัวขึ้นได้ตั้งแต่ 6 เดือนก่อนการเลือกตั้ง
ดังนั้น การเลือกตั้งจึงถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดกระแสเงินทุน (Fund Flow) จากต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการประกาศยุบสภา ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569
สำหรับประเด็นการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) ของประเทศไทยนั้น ชุติกาญจน์ มองว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพของการลงทุนมากนัก เนื่องจากเป็นการปรับลดตามหลังสถาบันจัดอันดับอื่นอย่าง S&P Global Ratings, Fitch Ratings และอาจตามมาด้วย Moody's Ratings
โดยสถาบันจัดอันดับ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน จากทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่มีความชัดเจน และระดับหนี้สาธารณะที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันระดับหนี้ยังไม่น่าจะเร่งตัวขึ้นไปจนชนเพดานที่ 70% ของ GDP ในเร็วๆ นี้
ส่วนการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทเอกชนรายตัว เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากระดับประเทศ เหตุผลสำคัญที่บริษัทเอกชนบางแห่งถูกปรับลดเรทติ้งลงมานั้น เป็นเพราะโดยหลักการแล้ว เครดิตเรทติ้งของบริษัทเอกชน (รายตัว) จะไม่สามารถสูงกว่าเครดิตเรทติ้งของประเทศที่บริษัทนั้นตั้งอยู่ได้ (
ดังนั้น เมื่อเรทติ้งของประเทศถูกปรับลด บริษัทที่มีเรทติ้งสูงจึงถูกปรับลดตามลงมาด้วย อย่างไรก็ตาม มองว่าการปรับลดในรายตัวนี้ เป็นปัจจัยลบในเชิงจิตวิทยาระยะสั้นเท่านั้น
ในระยะยาว ควรให้ความสำคัญกับการเติบโตของผลประกอบการของแต่ละบริษัทมากกว่าประเด็นการถูกปรับลดเรทติ้ง ปัจจัยพื้นฐานและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะเป็นตัวชี้วัดมูลค่าที่แท้จริงได้ดีกว่า
นอกจากนี้ ความหวังว่าปัจจัยบวกอื่นๆ เช่น ความชัดเจนทางการเมือง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในปีหน้า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้มากกว่า
ส่วนกรณี Government Shutdown ของสหรัฐฯ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากสถิติในอดีตชี้ว่าดัชนี S&P 500 มักจะปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวด้วยซ้ำ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้