
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ "Leveraged & Inverse ETF" (L&I ETF) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเพิ่มทางเลือกและกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นให้กับนักลงทุน สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะตลาด โดยจะเริ่มซื้อขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 กันยายนนี้
ได้แก่ Leveraged ETF ให้ผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิงแบบมีอัตราทด เช่น 2 เท่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าตลาดเป็นขาขึ้นและต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้น และ Inverse ETF ให้ผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าตลาดเป็นขาลง หรือใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ
ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การมี L&I ETF จะช่วยให้นักลงทุนมีกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นตามสภาวะตลาดที่คาดการณ์ได้ โดยผลิตภัณฑ์นี้แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
ดร.รินใจ กล่าวเสริมว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะช่วยเติมเต็มระบบนิเวศ (Ecosystem) ของผลิตภัณฑ์ในตลาดให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปสามารถนำไปใช้บริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจซื้อขาย Leveraged และ Inverse ETF ควรศึกษาลักษณะและความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน โดย Leveraged และ Inverse ETF เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น เนื่องจากการถือครองในระยะยาวผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการที่ผลตอบแทนรวมของกองทุน ETF อาจแตกต่างไปบ้างจากผลตอบแทนทวีคูณของดัชนีอ้างอิง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน แม้ในตลาดหุ้นไทยจะมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนในลักษณะคล้ายกัน เช่น Futures ที่ต้องบริหารจัดการเงินหลักประกันและติดตามสถานะทุกวัน หรือ DW ที่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ
แต่ L&I ETF สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นทั่วไปผ่านกระดานหุ้นไทย ทำให้สะดวก อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง ผลตอบแทนอาจเบี่ยงเบนไปจากนโยบายได้บ้าง ซึ่งจะมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการให้ใกล้เคียงเป้าหมายที่สุด
ด้าน ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ L&I ETF ที่จะเปิดตัวนี้ จะช่วยแก้ปัญหาสำหรับนักลงทุนที่มองว่าผลตอบแทนจาก ETF แบบดั้งเดิมอาจขยับช้าเกินไป โดยในระยะแรกจะมีให้เลือกลงทุนทั้งแบบ Leveraged 2 เท่า และ Inverse 1 เท่า และ 2 เท่า
"หากนักลงทุนมองว่าตลาดมีทิศทางขาลง จากเดิมที่ทำได้เพียงขายหุ้นแล้วถือเงินสด ตอนนี้สามารถซื้อ Inverse ETF เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรได้" ชัยพร กล่าว
ยกตัวอย่างเช่น หากดัชนี SET50 TRI ปรับตัวลง 1% นักลงทุนที่ถือ Inverse ETF 2 เท่า (2x Inverse) สามารถคาดหวังผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ถึง 2% ในวันนั้น
ทั้งนี้ L&I ETF เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองภาพใหญ่ของตลาด แต่ไม่ได้ติดตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัวอย่างใกล้ชิด และแม้จะมีความเสี่ยงสูงกว่า ETF ปกติ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านการเสื่อมค่าตามเวลา (Time Decay) น้อยกว่า DW มาก
จึงเหมาะกับการลงทุนระยะสั้นประมาณ 1-10 วัน แต่ไม่เหมาะกับการถือลงทุนระยะยาวเป็นหลายเดือนหรือเป็นปี นอกจากนี้ ยังไม่ต้องคอยเติมเงินหลักประกัน (Margin Call) เหมือนการลงทุนในฟิวเจอร์ส ทำให้นักลงทุนบริหารจัดการพอร์ตได้ง่ายขึ้น
สำหรับบทบาทของ บล. บัวหลวง คือการทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ในราคาที่เหมาะสมและมีสภาพคล่องเพียงพอ โดยค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับกองทุน ETF อื่นๆ ในตลาด
สำหรับ Leveraged และ Inverse ETF ที่จะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งแรกนั้น จะมีจำนวน 3 กองทุน และอ้างอิงดัชนี SET50 Total Return Index (SET50 TRI) ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด (BCAP) และมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายและผู้ดูแลสภาพคล่อง โดย L&I ETF ดังนี้
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้